วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖

Munich


คุณตัดเล็บทำไม?


กำกับ : Steven Spielberg
เขียนบท : Tony Kushner (screenplay), Eric Roth (screenplay), George Jonas (book "Vengeance: The True Story of an Israeli Counter-Terrorist Team")
นำแสดง : Eric Bana, Daniel Craig, Marie-Josée Croze
ความยาว : 164 นาที
ระดับความชอบ : 8.5/10

เป็นหนังของพ่อมด Hollywood Steven Spielberg ที่เลือกทำหนังหนักบ้าง นอกจากหนังสนุกทำเงิน 
โดยปกติหนังของ Spielberg จะดูง่าย ด้วยเขาเข้าใจตลาดในวงกว้าง หนังของเขาจึงทำเงินมากมายทุกที

Munich เรื่องนี้เข้าขั้นหนังรางวัล เป็นตัวเลือกในหลายรางวัลเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่ได้ชมเสียที

มาเห็นร้านเช่าหนังเจ้าประจำกำลังลดราคาแผ่นเพราะจะเลิกกิจการ เข้าไปเดินชมเลยได้แผ่นนี้กลับบ้าน
เมื่อได้เปิดชมก็ได้เห็นความรุนแรงของการเอาคืนกัน
แต่หนังเรื่องนี้ก็มีจุดยืนชัดเจนในการนำเสนอ Spielberg วิพากษ์การกระทำครั้งนี้ผ่านพระเอกว่าการทำอย่างนี้ไม่ดีเลย สงครามไม่มีทางจบแน่หากไม่ให้อภัยกัน
ประโยคเด็ดที่ทำให้เห็นว่าการยุติสงครามในโลกนี้ยากเข้าไปอีกเมื่อผู้สั่งให้พระเอกทำงานนี้พูดว่า "ถ้าอย่างนั้นคุณตัดเล็บทำไม?" ตัดไปก็งอกมาอีก ก็ตัดอีก 
เหมือนคู่ต่อกรที่จัดการไปก็จะมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ก็จัดการกันต่อไปเรื่อยๆ 
ฟังแล้วอึ้งทั้งพระเอกและคนดู

ชอบหนังเรื่องนี้ในฉากที่พระเอกโทรศัพท์หาภรรยาและลูก น้ำตาของคนเป็นพ่อพร่างพรูออกมาอย่างน่าสงสาร
นำไปสู่ฉากโดนสาวสวยนักฆ่าที่ยั่วพระเอกจนเกือบตกหลุม แต่พระเอกปฏิเสธ เป็นฉากที่เห็นน้อยมากในหนังฝรั่ง 
ชื่นชมความเป็นพ่อของพระเอกครับ

อีกฉากที่เห็นเยอะคือผู้ไม่รู้เรื่องมักโดนลูกหลงจากปฏิบัติการของทีมพระเอก และชีวิตจริงก็เป็นเช่นนั้น ความโหดร้ายของสงครามอยู่ตรงนี้แหละครับ

จุดเริ่มของเรื่องเกิดที่ Munich แต่การล้างแค้นเอาคืนเกิดไปทั่ว และดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
ก็ได้แต่หวังและภาวนาถึงสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกในเร็ววัน
แม้จะมีความหวังน้อย แต่ก็ต้องเรียกร้องกันต่อไปครับสำหรับสันติภาพ
ต้องให้อภัยและมอบความรักต่อกันเท่านั้น สันติภาพถึงจะเกิดขึ้นได้
เริ่มจากตัวเรา หมั่นให้อภัย โดยเฉพาะให้อภัยตัวเราเอง 

ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันทั้งนั้น จะเช่นฆ่ากันไปไย เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว

มีความสุขทุกคนครับ

ปล. เอา Quotes มาฝาก
Ephraim: You think you were the only team? It's a big operation, you were only a part. Does that assuage your guilt?
Avner: Did we accomplish anything at all? Every man we killed has been replaced by worse.
Ephraim: Why cut my finger nails? They'll grow back.
Avner: Did we kill to replace the terrorist leadership or the Palestinian leadership? You tell me what we've done!
Ephraim: You killed them for the sake of a country you now choose to abandon. The country your mother and father built, that you were born into. You killed them for Munich, for the future, for peace.
Avner: There's no peace at the end of this no matter what you believe. You know this is true.

In My Father's Den


Drama ระดับเจ้าป้าจาก New Zealand 


กำกับ : Brad McGann
เขียนบท : Maurice Gee (novel), Brad McGann (screenplay)
นำแสดง : Matthew Macfadyen, Miranda Otto, Emily Barclay 
ความยาว : 127 นาที
ระดับความชอบ : 9/10

เรื่องเริ่มต้นเมื่อ Paul กลับมาบ้านเกิดที่ New Zealand หลังจากออกจากบ้านไปใช้ชีวิตตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จนสุดท้ายเป็นนักข่าวสงครามที่มีชื่อเสียง
เมื่อมาถึงบ้านน้องชาย ทุกคนไม่คิดว่าเขาจะมา เพราะเขาหายไปร่วมยี่สิบปี

แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มทะยอยเล่าออกมาแบบไม่เรียงลำดับเวลา แต่เข้าใจได้ไม่ยาก 

ภาพบรรยากาศในเรื่องสวยงามมาก เป็นชุมชนเชิงเขาที่น่ารัก ขับมอเตอร์ไซด์ข้ามลำน้ำ ดูแล้วน่าอยู่ มีสวนดอกไม้ในหลายฉากสวยงามมาก 
เพลงประกอบก็ถูกที่ถูกเวลา ชอบในหลายเพลง

ในส่วนเนื้อเรื่องต้องบอกว่าแรงมาก แต่ผู้กำกับก็ควบคุมให้อยู่ในโทนที่น่าชม ไม่บีบคั้นใดๆ เก่งทีเดียว

เรื่องราวในห้องเล็กของพ่อเรื่องนี้มีปมอยู่ในช่วงตอนท้าย โดยปูเรื่องมาได้อย่างแนบเนียน เล่นเอาเดาผิดไปเลย 
ดูจบต้องบอกว่า Drama ระดับเจ้าป้า Pedro Almodóvar นั่นเลยทีเดียว

ครอบครัวนี้มีลูกชาย 2 คน คนโตสนิทกับพ่อที่ไม่เคร่งศาสนา ส่วนคนน้องสนิทกับแม่ที่เคร่งศาสนามาก 
พ่อกับ Paul ลูกชายคนโตมักมีโลกส่วนตัวกันในห้องเล็กที่เต็มไปด้วยหนังสือ พ่อมักอ่านหนังสือให้ลูกชายฟัง หล่อหลอมจนเขาเป็นนักเขียน
แล้วจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อลูกชายคนโตพาแฟนสาวมาในห้องเล็กห้องนี้ กำลังจูจี๋กัน พ่อก็เข้ามาเห็นพอดี
จุดแตกหักก็รุนแรงจนยากที่ Paul จะทนได้ เขาเลยออกจากบ้านไปในตอนอายุ 16 ปี
หนังค่อยๆ เฉลยปมอย่างมีชั้นเชิง สุดยอดครับ

หนังเรื่องนี้และของเจ้าป้าเป็นประเภทเอาไว้ดูแต่ห้ามทำตาม เพราะจะมีผลร้ายตามมา หากเรายอมแพ้กิเลสแล้วทำตามในสิ่งที่มันสร้างขึ้นมายั่วยุเรา ผลลัพธ์ก็จะเป็นเหมือนในหนัง ซึ่งหนักมาก รับได้ยาก

แม้หนังจะแรงแต่มีข้อคิดสอนใจมากมายทีเดียว

มีความสุขทุกคนครับ