วันศุกร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔

I give my first love to you

รักแรก รักเดียว ตลอดไป



กำกับ : Takehiko Shinjo
เขียนบท : Kotomi Aoki (manga), Kenji Bando (screenplay)
นำแสดง : Mao Inoue, Masaki Okada and Natsuki Harada
ความยาว : 122 นาที
ระดับความชอบ : 8.5/10

ได้แผ่นนี้จากเวบแลกของสุดเลิฟ http://www.coolswop.com

ไม่มี Background ของเรื่องนี้เลย เห็นมีรางวัลอยู่บนปกแต่ไม่รู้จักรางวัลเหล่านั้น
แปลงลง iPhone เพื่อเอาไว้ดูตอนเดินทาง

ทำมาจากหนังสือการ์ตูนขายดีที่ชนะ NANA เสียอีก
เห็นว่าแปลมาเป็นไทยแล้วด้วยในช่วงหนึ่ง

เป็นเรื่องราวความรักของ ทาคุมะคุง และมายุจัง
ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ฝ่ายชายเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ห้ามออกกำลังกาย และหากไม่ได้รับการเปลี่ยนหัวใจจะมีชีวิตไม่เกิน 20 ปี
ฝ่ายหญิงเป็นลูกคุณหมอที่ดูแลไข้ฝ่ายชาย
ทั้งคู่จึงเจอกันในโรงพยาบาล เจอได้อย่างไร เฉลยตอนท้ายเรื่อง ผมว่าลงตัวดีจังมาไว้ตรงนี้

พอมายุจังรู้เรื่องโรคของทาคุมะคุง ก็ไปหาใบ Clover สี่แฉก ซึ่งเชื่อว่ามีเทพเจ้าและจะขออะไรก็ได้
ฉากขอพรฉากนี้อยู่ต้นเรื่อง เล่นเอาอึ้ง ตารื้นไปเลย แรงจริงหนังเรื่องนี้

แล้วเด็กทั้งคู่ก็เป็นคู่ติดกันเป็นปาท่องโก๋ตลอด แต่ทุกครั้งที่ใกล้ชิดกันมายุจังจะร้องไห้เมื่อคิดถึงวันที่ต้องจากกัน
ทาคุมะไม่อยากให้เธอร้องไห้อีก เลยตั้งใจจะห่างออกไปจากเธอเมื่อขึ้นมอปลาย ด้วยการแยกไปเรียนอีกโรงเรียน
แต่มายุจังก็เรียนพิเศษหนักมากจนสอบเข้าโรงเรียนเดียวกันเป็นที่หนึ่ง
แถวๆ นี้ออกจะการ์ตูนนิดหน่อย แต่ผมไม่รู้สึกอะไร เพราะถือว่าไม่ใช่แก่นของเรื่อง

แก่นของเรื่องคือรักของคนทั้งสองที่งดงามเหลือเกิน
ฉากทาคุมะท้าวิ่งก็ชอบ
ฉากมายุโขกหัวขอหัวใจ น้ำตาไหลเลยครับ จะดีแค่ไหนถ้ามีใครสักคนรักเราขนาดนี้
ฉากไปฮันนี่มูนกันก็หวานได้ใจ ดูแล้วมีความสุขมาก
ฉากคุณแม่ทาคุมะขอบคุณมายุที่ทำให้ลูกชายเขารู้จักความรักก็ดี ชอบๆ
ฉากแต่งงานในตอนท้าย คำพูดประกอบการแรกพบของคนทั้งสอง สุดยอดครับ เป็นฉากปิดที่ดีมาก
เพลงปิดท้ายก็ไพเราะเหลือเกิน ลงตัวมาก

แม้ในรายละเอียดจะออกการ์ตูนๆ ไปบ้าง แต่ผมว่าไม่ได้ทำให้ความน่าดูลดลงเลย ทำให้ความรักน่ารักขึ้นอีกต่างหาก

ดาราทั้งคู่น่ารักมาก ทำผมเคลิ้มไปด้วยเลย
ผมว่าหนังญี่ปุ่นมักจะมีความลึกให้สัมผัสเสมอเลยครับ แม้เนื้อเรื่องจะไม่ค่อยมีอะไร แต่กินใจเหลือเกิน

ผมเสียน้ำตามากมายกับหนังเรื่องนี้ครับ
ดีนะที่ดูคนเดียวที่บ้าน

หนังเรื่องนี้บอกผมว่า "การมีใครสักคนที่รักเรา เป็นความโชคดีในชีวิต"

มีความสุขทุกคนครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔

ต้นไม้ใต้ดวงอาทิตย์

ดูแลโลก สไตล์ญี่ปุ่น



ผู้เขียน : ทรงกลด บางยี่ขัน
สำนักพิมพ์ : a book
จำนวนหน้า : ๒๑๖ หน้า
ราคา : ๒๐๕ บาท
ระดับความชอบ : ๘.๕/๑๐

ได้หนังสือเล่มนี้จาก http://www.coolswop.com

ผู้เขียนเป็น บก. ของ a day นิตยสารช่างคิดเล่มนี้ ผมมักจะได้ไอเดียจากหนังสือเล่มนี้เสมอเลยครับ เวบแลกของ http://www.coolswop.com ก็ได้มาจากนิตยสาร a day นี่แหละครับ

บนปกเขียนไว้ว่า “๕๐ วิธีดูแลโลกจากประเทศใกล้ชิดธรรมชาติ สนิทวัฒนธรรมเก่า ไฮเทค สร้างสรรค์ มุ่งมั่น และขี้เล่น ที่สุดในโลก”
ในเวบ Coolswop เจ้าของเดิมเขียนไว้ว่า “คุณจะได้รับรู้ถึงพลังงานและแรงบันดาลใจในรูปแบบที่คุณคุ้นเคย แต่โชยด้วยกลิ่นของโชยุและวาซาบิ เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องราว และความคิดสร้างสรรค์ของชาวญี่ปุ่นล้วน ๆ แต่ถูกนำมาปรุงด้วยรสชาติต่างๆ ทางตัวหนังสืออันกลมกล่อมละมุนละไม ใส่ความห่วงใยและเจตนาที่ดีต่อทุกสิ่งและทุกชีวิตรอบตัวลงไปคลุกเคล้า กลายเป็นฟิวชั่นจานเด็ดที่อยากใกล้สองตา หนึ่งสมองและหนึ่งใจ ของผู้อ่านทุกท่านได้สำผัสดู”

ผมเคยอ่านหนังสือของคุณทรงกลดมาแล้ว ๑ เล่ม คือ นายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวา

ต้องบอกว่าเกือบทุกเรื่องโดนใจครับ เพราะแนวของเล่มนี้เป็นแนวรักษ์โลก แต่เป็นแบบน่ารักๆ ของคนญี่ปุ่น

เปิดเล่มก็เอาเรื่องลูกระนาดบนท้องถนนที่เอาไว้เพื่อลดความเร็ว มีคนค้นพบว่าสามารถทำให้เกิดเสียงดนตรีได้ แต่ต้องความเร็วที่เหมาะสม ก็เลยกำหนดความเร็วที่จะได้ยินเสียงดนตรีไว้ข้างถนน ซึ่งจะเป็นความเร็วที่ชะลอแล้ว หากอยากได้ยินเสียงดนตรีจากลูกระนาดก็ลดความเร็วเอา เป็นการชักชวนให้ขับช้าที่น่ารักมาก ตามสไตล์ญี่ปุ่นเลยครับ

บางที่อ่านแล้วต้องจด เผื่อเอาคู่รักไปเยือนบ้าง นั่นคือเมืองยูบะริที่ตอนแรกไม่มีจุดขายในเรื่องการท่องเที่ยวเลย แต่เมืองนี้มีอัตราการหย่าร้างน้อยที่สุดในญี่ปุ่นเลยออกจุดขาย
Yubari, no money but love. ยูบะริ ฟุไซ, ฟุไซ แปลว่า หนี้สิน หรือ คู่สมรส
ทุกอย่างในมืองนี้จะออกแนวคู่รัก ทั้งที่เที่ยว ของที่ระลึก ดังนั้นเหมาะกับคู่รักทีเดียว

Konohana Family จะเป็นชุมชนของคนทำการเกษตรอินทรีย์ที่ทำออกมาเป็นรูปธรรม น่าสนใจมาก ลองอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ
http://www.konohana-family.org/files/welcome3rd_e.pdf

ปัจจุบันมีการนำฟุโระฌิกิ ผ้าห่อกล่อง กลับมาเพื่อลดการห่อของขวัญด้วยกระดาษ เพราะผ้าห่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และเป็นเทคนิคของญี่ปุ่นที่มีมาตั้งแต่โบราณ

ร้านขายเสื้อผ้า UNIQLO ที่เข้ามาในเมืองไทยปัจจุบันก็มีการรับเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาจัดการต่อให้

มีการศึกษา Slow Business School โดยให้ไปอยู่ที่ตำบลทะกะวะ จังหวัดฟูกูโอกะ วิถีชีวิตเนิบช้าและเป็นทางเลือกโดยแท้จริง เข้าเรียนแล้วอาจจะนึกขึ้นได้ว่าชีวิตต้องการอะไร

หรือการยืมร่มแล้วเอามาคืนแล้วได้เงินไปอีก จะได้ไม่ต้องมีขยะเป็นร่มไม่ใช้แล้วจำนวนมาก มีองค์กรอิสระที่สนับสนุนโครงการเชิงอนุรักษ์แบบนี้เป็นรูปธรรมนะครับที่ประเทศเขา

นับเป็นเล่มที่ทำให้ยิ่งชอบวิถีของญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีก เพราะเขาช่างสังเกต ไม่หยุดคิด คิดไปเรื่อย ทดลองทำ จนได้แนวทางน่ารักๆ ขึ้นมาเสมอ

โลกเราโดนทำร้ายมาพอแล้วครับ หยุดทำร้ายโลกได้แล้ว หยุดตัดต้นไม้ได้แล้วครับ เราพัฒนามาเพียงพอแล้ว อยู่กับโลกกับธรรมชาติอย่างเป็นมิตร อย่างที่เขาเป็น แล้วเราจะอยู่กันได้โดยสันติครับ
หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะจุดประกายการรักษ์โลกให้เจิดจ้ามากขึ้นนะครับ
เริ่มที่ตัวเรานี่แหละครับ โลกอ้าแขนรอเราอยู่

มีความสุขทุกคนครับ

วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔

The Help

สาวใช้ผิวสี ก็มีหัวใจ



กำกับ : Tate Taylor
เขียนบท : Tate Taylor (Screenplay), Kathryn Stockett (Novel)
นำแสดง : Emma Stone, Viola Davis, Octavia Spencer, Bryce Dallas Howard, Jessica Chastain
ความยาว : 137 นาที
ระดับความชอบ : 9.5/10

ขณะนั่งรถตู้โดยสารจากสระบุรีเข้ากรุงเทพฯ คุณบลูยอชท์ Tag มาทาง Facebook เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ 
เป็นหนังของค่าย Dreamworks ที่ทำหนังการ์ตูนเนื้อหาดีๆ ออกมาสม่ำเสมอ
คุณบลูยอชท์บอกว่าเป็นนิยายขายดีมาก่อน เป็นประสบการณ์จริงของผู้เขียนนิยายเรื่องนี้และได้เพื่อนสนิทที่มีประสบการณ์ร่วมมาแปลงเป็นบทภาพยนตร์และกำกับการแสดงด้วย
ผู้กำกับคนนี้น่าสนใจเพราะเคยกำกับเรื่อง Winter's Bone หนังหนักที่ตรึงใจได้ดีทีเดียว

เรื่องเกิดในช่วงปี 1960 ในเมืองแจ๊คสัน รัฐมิสซิสซิปปี้ ที่มีการเหยียดผิวอย่างรุนแรง ห้องน้ำก็ห้ามเข้าร่วมกัน รถเมล์เมื่อเกิดเหตุก็ไล่คนผิวดำลงจากรถทันที

โครงสร้างของครอบครัวชาวผิวขาว จะมีแม่บ้านเป็นคนผิวดำ พวกเธอทำทุกอย่างรวมทั้งเลี้ยงลูก
ดังนั้นเด็กๆ จะผูกพันกับพี่เลี้ยงผิวดำพวกนี้มาก โดยเฉพาะนางเอก
นางเอกเป็นสาวที่ขาดความมั่นใจ เพราะไม่มีชายคนใดมาสนใจ มีแต่แม่เลี้ยงผิวดำที่คอยปลอบใจ และให้ข้อคิดดีๆ ในการดำเนินชีวิตต่อ
ซึ่งคนเป็นแม่แท้ๆ ไม่เคยมีให้ 
แม้แต่รู้เรื่องในชีวิตของลูกยังไม่รู้เลย คงมารู้ตอนอ่านเจอในหนังสือ The Help นั่นแหละว่ามีเรื่องราวในชีวิตลูกสาวมากมายแค่ไหนที่ตัวเองไม่รู้
ในบ้านเราปัจจุบันก็มีนะครับ ลูกเศรษฐีแต่ชอบกินลาบเลือด เพราะพี่เลี้ยงเป็นชาวอีสาน

พี่เลี้ยงผิวดำพวกนี้ใกล้ชิด สอนสิ่งดีๆ ให้เด็กน้อย ห้ามตีคุณหนู ปลอบประโลมเวลาแม่ตัวจริงตี ไม่แปลกที่คุณหนูตัวเล็กจะพูดว่า "เธอเป็นแม่ตัวจริงของฉัน" คนเป็นพ่อแม่น่าจะสำนึกบ้างนะ ทำให้พวกเขาคลอดออกมาก็ต้องดูแลให้เต็มที่ ไม่ใช่ให้คนอื่นดูแล

นางเอกที่เป็นนักข่าว รับหน้าที่แรกตอบจดหมายเรื่องงานครัวที่เธอไม่เคยทำ จึงต้องมาพึ่งแม่บ้านผิวดำในบ้านเพื่อน เพราะพี่เลี้ยงของเธอโดนคุณแม่ไล่ออกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
มุมมองของนางเอกต่างจากเพื่อนสาวรุ่นเดียวกัน เพราะเธอไม่รังเกียจแม่บ้านผิวดำและอยากจะเขียนถึงหัวอกพวกเธอออกมาให้คนได้รับรู้
ตอนแรกได้แค่ 2 คน จนเมื่อถึงจุดเปลี่ยนโดนข่มเหงหนักๆ แม่บ้านผิวดำทั้งหลายเลยออกมาแฉเจ้านายกันถ้วนหน้า
จนได้หนังสือ The Help ออกมา

สาวใช้ผิวดำพวกนี้บางครั้งเรียก Maid บางครั้งเรียก The Help เพราะพวกเธอช่วยเหลืองานต่างๆ

บนใบปะหนังบอกว่า การเปลี่ยนแปลงบางครั้งเริ่มจากเสียงกระซิบ
ข่มเหงเขาไว้มากๆ สักวันเขาจะทนไม่ไหว แล้ววันนั้นก็จะเอาคืน เหมือนหนังเรื่องนี้

หลายฉากมากที่ชอบ โดยเฉพาะชุมชนของคนผิวดำที่ต่ำต้อยแต่อบอุ่น ชอบฉากในโบสถ์ของคนดำครับ

ดาราสาวในเรื่องนี้เล่นดีกันเหลือเกิน คนบนปกข้างซ้าย Viola Davis เล่นในบทพี่เลี้ยงอมทุกข์ เลี้ยงคุณหนูมา 17 คน แต่ลูกชายตัวเองพอต้องการความช่วยเหลือกลับไม่ได้รับ จนเขาตายตั้งแต่ยังหนุ่ม
ชอบฉากที่เธอวิ่งลงจากรถเมล์แล้วล้มที่หน้าบ้าน เธอแสดงได้ดี สงสารเธอเลยครับฉากนี้
Octavia Spencer บทเธอน่ารักและมีอารมณ์ขัน แม้ชีวิตจะหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
Emma Stone เคยดูเธอเล่นใน Easy A เธอไม่ได้เป็นคนที่สวยมาก ซึ่งเหมาะกับบทในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
Bryce Dallas Howard สาวสวยที่รับบทตัวร้ายได้สมบทบาทจริงๆ คงมีคนสะใจในช่วงท้ายเรื่องที่เธอโดนตอกกลับนะครับ เรื่องก่อนหน้านี้ที่ดูเธอร้ายคือเรื่อง 50/50 ครับ
Jessica Chastain ในบทสาวบ้านนอกที่ชนะใจเศรษฐีหนุ่ม แต่ทำงานบ้านไม่เป็น สาวใช้ตัวดำเข้ามาเติมเต็มชีวิตเธอในทุกจังหวะชีวิต เธอเล่นดีน่ารักมาก
สาวๆ คนอื่นๆ ก็เล่นดีมาก เป็นหนังที่รวมดาราผู้หญิงไว้เยอะ และทุกคนเล่นดีหมดเลย ปล่อยของกันเต็มๆ ตามที่คุณบลูยอชท์ว่าไว้เลยทีเดียว

บทสนทนาในหนังดีมากและได้อารมณ์ดีจัง
เพลงประกอบก็ไพเราะ นั่งฟังเพลงสุดท้ายจนจบเลย
ในหนังมีครบทุกรสเลยครับ เศร้า ยิ้ม หวาน ซึ้ง จุกอกพาลจะร้อง แล้วทำออกมาได้กลมกล่อมด้วยสิ
ยังแปลกใจเลยทำไมหนังเข้าเมืองไทยแค่ Copy เดียว แล้วเวียนฉายในเครือเมเจอร์ ผมได้ดูที่ Paragon 
ผมว่าเป็นหนังดีน่าส่งเสริมเสียด้วยซ้ำ

คนเราคุณค่าเท่าเทียมกันครับ พระเจ้าไม่เคยเลือกว่าจะผิวขาวผิวดำ อย่างในฉากมีทอร์นาโดเข้า ตายเท่าเทียมกันเลยทั้งคนขาวคนดำ
แต่เมื่อเราเห็นว่าไม่เท่าเทียมจะเกิดปัญหาทันที ไม่ว่าจะตัวอย่างในหนังเรื่องนี้ หรือการเหยียดผิวจากทุกมุมโลก เพราะมันผิดธรรมชาติ
คุณค่าของคนเราใช่รูปลักษณ์ภายนอก ผิวดำขลับแบบนิโกรแต่ใจขาวสะอาดใสมีมากมาย ดังนั้นให้เกียรติต่อกันจะดีที่สุด

สันติภาพเริ่มจากความรักต่อคนรอบข้าง ใกล้ตัว เพราะพวกเขาและเธอต่างก็มีหัวใจ
รักกันไว้มากๆ นะครับ ชีวิตเราใช่จะยืนยาวนัก

มีความสุขทุกคนครับ

น้ำท่วมไปไหน? ฉันไปเป็นอาสาสมัคร

๑๒ พ.ย. ๕๔
ปล่อยให้ทหารไทยใจหล่อมากมานาน วิศวกรไทยใจก็หล่อเหมือนกัน


ได้ยินพี่ที่ทำงานพูดถึงเรื่องไปเป็นอาสาสมัครของกลุ่มนักเดินป่าในวันเสาร์อาทิตย์ เลยสนใจเพราะต้องเข้ากรุงเทพฯ มาเอายาให้ลูกอยู่แล้ว


เมื่อธุระเรื่องลูกเสร็จไว ก็เลยโทร.บอกพี่เขาว่าไปด้วย


สิ่งที่ต้องซื้อคือรองเท้าเพื่อลุยน้ำ ตอนแรกจะซื้อรองเท้ายางแต่ร้านแถวสะพานควายไม่มีขาย เลยได้รองเท้าผ้าใบมาแทน ส่วนถุงเท้าเล่นบอลพี่เขาซื้อเตรียมไว้ให้แล้ว
ถุงเท้าและรองเท้าป้องกันไม่ให้เดินไปเตะอะไรแล้วได้รับบาดเจ็บ


แล้วก็ไปรวมพลที่คอนโดในซอย ๙ พหลโยธิน
ซื้อขนมปังไปเป็นอาหารมื้อเที่ยงเพราะเราทานมังสวิรัติ ไม่เหมือนใคร


วันนี้วันเสาร์ไปที่แถวชมรมปักษ์ใต้ หมู่บ้านมหาดไทย ๒ บนถนนบางระมาด
กว่าจะถึงก็นั่งตากแดดบนรถหกล้อนานทีเดียว ทานขนมที่เตรียมมาเสียเลย


แล้วก็ลุย ใส่เสื้อชูชีพด้วย มีอาสาสมัครร่วมสิบคน
เดินเข้าไปลึกมาก น้ำมีทุกระดับ สูงสุดแค่คอ มีกลิ่นบ้าง
เมื่อถึงสะพานก็ต้องเอาของออก ยกเรือ มีแบบนี้ ๒ ครั้ง ช่วยกันแข็งขันดี


ภาระกิจของพวกเรานักเดินป่า อาสากู้ภัย คือ เอาอาหารสด ถุงยังชีพ และน้ำ ไปแจกชาวบ้านที่อยู่เข้าไปลึกๆ ความช่วยเหลือมักจะเข้าไปถึง
เวลาเจอหมา แมว ก็เอาอาหารให้พวกมันทาน
เมื่อแจกของคนแล้วก็จะถามถึงสัตว์เลี้ยงด้วย


เดินตั้งแต่เที่ยง ภาระกิจเสร็จประมาณห้าโมงเย็น แช่น้ำเน่าตลอด แจกของไม่ยั้ง หลายคนยกมือไหว้ หลายคนบอกว่าไม่เคยมีใครเข้ามาเลย เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ


รอบแรกแจกจนหมดของ เอาเรือมาเติมอีก จนได้ครบทุกบ้านตามที่มาสำรวจเอาไว้


อุปสรรคที่พบคือมักจะมีชาวบ้านต้นๆ ซอยขอของแจก พวกเราต้องใจแข็งเดินไปให้สุดซอยที่พวกเราเล็งไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์


ตอนเดินกลับมาขึ้นรถ เหนื่อยมาก พี่ๆ ในทีมนักเดินป่าเดินลากเรือเปล่าไวมาก หายใจแทบไม่ทัน เลยเดินจงกรมไปเลย ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ
คิดเล่นๆ ว่า หากเป็นลมลงไปจะน่าเกลียดขนาดไหนเนี่ย
แต่ก็ผ่านมาได้


ขนของที่เหลือไว้ที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ แล้วก็ขึ้นรถหกล้อกลับ
เริ่มมืด ยุงเยอะมาก บินชนยังเจ็บเลย ได้แต่นึกถึงชาวบ้านที่น้ำท่วมเขาจะโดนยุงจำนวนมากนี้รบกวนขนาดไหนนะ? สู้ๆ นะครับพี่น้อง


ขากลับนั่งคุยกับตากล้องประจำทีม เธอเป็นชาวปราจีนบุรี เป็นนักเดินทาง เลยถามไถ่เรื่องจังหวัดของเธอ
เธอบอกว่าต้นโพธิ์ที่อำเภอศรีมหาโพธิ์นำมาจากอินเดีย และเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดด้วย
เธอบอกอีกว่าเขาใหญ่จริงๆ แล้วพื้นที่เยอะที่สุดอยู่ในปราจีนบุรีรวมถึงทางขึ้น แต่จังหวัดนครนายก Promote เยอะกว่า
ดูแล้วเธอรักจังหวัดเธอจังนะ
เธอทำงานที่โรงพยาบาลอภัยภูเบศร์
ชอบคำสุดท้าย "ในช่วงนี้อาสาสมัครมีเยอะขึ้นมาก เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน" ดีใจครับที่คนไทยไม่ทิ้งกัน


กลับถึงในเมือง รีบกลับห้อง อาบน้ำ หลับเป็นตาย
ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปอีก


รูปมีน้อย เอามาให้เห็นบรรยากาศครับ





ตอนเดินกลับมาขึ้นรถกลับห้อง โทรศัพท์โม้ลูกสาววัย ๑๑ ขวบว่าพ่อไปเป็นอาสาสมัครมา ลูกบอกว่าอยากไปบ้าง เลยนึกคำในตำราเลี้ยงลูกที่ว่า "การสอนที่ดีที่สุดคือ การทำให้ดู"


รักทีมนี้จัง นักเดินป่า สักวันจะพาลูกไปเดินป่าให้ได้


๑๓ พ.ย. ๕๔
อย่างนี้มันต้องถอน
หลังจากเมื่อยล้ามาเมื่อวาน วันนี้ตั้งใจจะไปอีกวัน พี่จุ่นคนที่นำทางมาติดธุระ วันนี้เลยฉายเดี่ยว


ตอนเช้าแม่โทร.มาถามว่า "น้ำเน่ามากเลยใช่ไหม?" ก็ตอบไปว่า "ครับ เน่ามาก" แม่คงงงหากรู้ว่าลงไปแช่น้ำเน่าตั้ง ๒ วัน คิดในใจว่า "ยังไม่คันครับแม่ สบายใจได้"


การเดินทางจากคอนโดใช้วิธีเดิม เติมน้ำใส่ขวดมาล้างเท้าที่บันไดรถไฟฟ้าใต้ดิน จะซื้อรองเท้าบู๊ธก็ไม่ไหวรู้สึกว่าแพง ตามด้วยแอลกอฮอร์ที่มีตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่ ๒๐๐๙ ก็เอามาล้างขาอีกรอบ


เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ลงจากสถานีก็ซื้อขนมปังตามประสาคนมังสวิรัติที่ทานไม่เหมือนคนอื่น ซื้อไข่ต้มตุนไว้ ๒ ฟองด้วย


เข้าไปในสำนักงาน คุณหวานบรรยายภาระกิจในวันนี้ เข้าไปเบิกเสื้อกับน้องกระแต ได้เสื้อสีชมพู สีสวยเชียว
เตรียมตัวมาดี ไม่พกอะไรไปให้เกะกะ พะวักพะวงเลย


มีพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าเมื่อวานทีมนักเดินป่าโรยตัวลงมาจากโทลเวย์เพื่อแจกของชาวบ้าน


ภาระกิจวันนี้ไปถนนโกสุมร่วมใจ เขตดอนเมือง ตรงกันข้ามร้านเจ๊เล้ง
ถ่ายรูปก่อนออกเดินทางกัน





ใช้ถนน Local Road ระดับน้ำจะต่ำกว่าถนนวิภาวดี ที่ตอนนี้กลายเป็นคลองไปแล้ว
รถหกล้อจอดที่ปากซอย ถนนโกสุมร่วมใจ เลยจัดการขนมปังที่เตรียมมา เห็นลุงและป้าคนขับรถซื้อขนมจีนมาทาน เลยถามว่าเขามีไข่ต้มให้ไหม? แกบอกว่าไม่มี งั้นผมมีให้ครับ ท่าทางจะเข้ากันได้ดีกับขนมจีน และผมก็อิ่มขนมปังแล้วด้วย ก็เลย win-win กันทั้งสองฝ่าย


ทีมตัดสินใจเอารถหกล้อลุยเข้าไปตามถนนเพื่อแจกในซอยข้างในสุด
ที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะน้ำที่นี่เน่ากว่าที่เมื่อวานครับ เกรงว่าจะคันกันถ้วนหน้า


ภาพน้ำทุ่วมของถนนสายนี้





แต่แล้วระดับน้ำสูงท่วมท่อไอเสีย เลยต้องกลับรถ ขากลับออกมารถทำท่าจะดับ เลยต้องช่วยกันเข็น เมื่อท่อไอเสียเริ่มพ้นน้ำก็พ่นควันสีขาวคละคลุ้งไปทั่วเลย คนเข็น ชาวบ้านแตกกระเจิง ใครบางคนเลยแซวว่าพ่นยาไล่ยุงกันด้วยทีมนี้ วันนี้มีภาพประกอบเพราะรู้จักตากล้องประจำทีมแล้ว








เลยต้องเอารถมาจอดที่น้ำน้อยแล้วก็ขนของลงเรือกัน





สุดท้ายก็ลุยน้ำเข้าไปแจกของอยู่ดี


รอบแรกผมไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะคนเยอะแล้ว เลยแจกข้าว กับข้าว และน้ำที่รถหกล้อให้กับผู้คนที่ผ่านไปมา มีชาวบ้านอาสาพายเรือเข้าไปส่งข้าวให้ชาวบ้านในซอยด้วย ซอยแคบมากเท่าลำเรือ กว่าจะกลับเรือออกมาได้ เล่นเอาลุ้น


อุปสรรคเดิมๆ คือ ชาวบ้านที่อยู่ซอยต้นๆ ก็จะมาขอของแจก ซึ่งเราก็บอกไปตามหลักการว่าขอไปแจกข้างในก่อน แต่ชาวบ้านก็มาถามบ่อย จนคนคุมของลำบากใจเลยทีเดียว
แต่ก็ยังยึดมั่นในหลักการ


รอบสองเลยได้เข้าไปลุยน้ำกับเขาด้วย หลังจากรอมานานพอสมควร





ลุยเข้าไปถึงซอย ๙ ซอยลึกมากจริงๆ แจกกันทั่วถึง
ผู้ให้ถุงยังชีพบางที่ต้องการภาพหลักฐานการแจก เลยต้องถ่ายภาพให้เห็นชัดๆ เสียหน่อยว่าแจกจริง





เสร็จภาระกิจประมาณห้าโมงเย็น เดินทางกลับเข้าเมือง
มาขนน้ำและถุงยังชีพขึ้นรถต่อ กลับถึงบ้านเวลาใกล้เคียงกับเมื่อวานประมาณสองทุ่ม
วันนี้นั่งรถเมล์สาย ๘ กลับ ถามเขาว่าวิ่งทางเดิมไหม? กระเป๋าบอกว่าวิ่งทางเดิม เลยนั่งมาลงป้ายหน้าคอนโด ลุยน้ำนิดหน่อย


โทร.บอกลูกๆ ให้อนุโมทนาบุญ

อาบน้ำแล้วรีบเข้านอน


ขอบคุณพี่จุ่นนะครับที่ชักนำและแนะนำวิธีการลุยที่ปลอดภัย
ขอบคุณคุณบิว ที่ทำให้มีรูปสวยๆ ประกอบบันทึก
ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ชาวนักเดินป่าทุกคนที่ทำทุกอย่างแบบได้ใจ
ชื่นชมจิตอาสาทุกคนนะครับ เชื่อแล้วครับว่าคนไทยไม่ทิ้งกัน

บุญกุศลที่ทำในสองวันนี้ขอให้ส่งถึงชาวไทยทุกคน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัย กลับมาเป็นปกติสุขไวๆ นะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

น้ำท่วมไปไหน? ฉันไปเป็นอาสาสมัคร

๑๒ พ.ย. ๕๔
ปล่อยให้ทหารไทยใจหล่อมากมานาน วิศวกรไทยใจก็หล่อเหมือนกัน


ได้ยินพี่ที่ทำงานพูดถึงเรื่องไปเป็นอาสาสมัครของกลุ่มนักเดินป่าในวันเสาร์อาทิตย์ เลยสนใจเพราะต้องเข้ากรุงเทพฯ มาเอายาให้ลูกอยู่แล้ว


เมื่อธุระเรื่องลูกเสร็จไว ก็เลยโทร.บอกพี่เขาว่าไปด้วย


สิ่งที่ต้องซื้อคือรองเท้าเพื่อลุยน้ำ ตอนแรกจะซื้อรองเท้ายางแต่ร้านแถวสะพานควายไม่มีขาย เลยได้รองเท้าผ้าใบมาแทน ส่วนถุงเท้าเล่นบอลพี่เขาซื้อเตรียมไว้ให้แล้ว
ถุงเท้าและรองเท้าป้องกันไม่ให้เดินไปเตะอะไรแล้วได้รับบาดเจ็บ


แล้วก็ไปรวมพลที่คอนโดในซอย ๙ พหลโยธิน
ซื้อขนมปังไปเป็นอาหารมื้อเที่ยงเพราะเราทานมังสวิรัติ ไม่เหมือนใคร


วันนี้วันเสาร์ไปที่แถวชมรมปักษ์ใต้ หมู่บ้านมหาดไทย ๒ บนถนนบางระมาด
กว่าจะถึงก็นั่งตากแดดบนรถหกล้อนานทีเดียว ทานขนมที่เตรียมมาเสียเลย


แล้วก็ลุย ใส่เสื้อชูชีพด้วย มีอาสาสมัครร่วมสิบคน
เดินเข้าไปลึกมาก น้ำมีทุกระดับ สูงสุดแค่คอ มีกลิ่นบ้าง
เมื่อถึงสะพานก็ต้องเอาของออก ยกเรือ มีแบบนี้ ๒ ครั้ง ช่วยกันแข็งขันดี


ภาระกิจของพวกเรานักเดินป่า อาสากู้ภัย คือ เอาอาหารสด ถุงยังชีพ และน้ำ ไปแจกชาวบ้านที่อยู่เข้าไปลึกๆ ความช่วยเหลือมักจะเข้าไปถึง
เวลาเจอหมา แมว ก็เอาอาหารให้พวกมันทาน
เมื่อแจกของคนแล้วก็จะถามถึงสัตว์เลี้ยงด้วย


เดินตั้งแต่เที่ยง ภาระกิจเสร็จประมาณห้าโมงเย็น แช่น้ำเน่าตลอด แจกของไม่ยั้ง หลายคนยกมือไหว้ หลายคนบอกว่าไม่เคยมีใครเข้ามาเลย เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ


รอบแรกแจกจนหมดของ เอาเรือมาเติมอีก จนได้ครบทุกบ้านตามที่มาสำรวจเอาไว้


อุปสรรคที่พบคือมักจะมีชาวบ้านต้นๆ ซอยขอของแจก พวกเราต้องใจแข็งเดินไปให้สุดซอยที่พวกเราเล็งไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์


ตอนเดินกลับมาขึ้นรถ เหนื่อยมาก พี่ๆ ในทีมนักเดินป่าเดินลากเรือเปล่าไวมาก หายใจแทบไม่ทัน เลยเดินจงกรมไปเลย ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ
คิดเล่นๆ ว่า หากเป็นลมลงไปจะน่าเกลียดขนาดไหนเนี่ย
แต่ก็ผ่านมาได้


ขนของที่เหลือไว้ที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ แล้วก็ขึ้นรถหกล้อกลับ
เริ่มมืด ยุงเยอะมาก บินชนยังเจ็บเลย ได้แต่นึกถึงชาวบ้านที่น้ำท่วมเขาจะโดนยุงจำนวนมากนี้รบกวนขนาดไหนนะ? สู้ๆ นะครับพี่น้อง


ขากลับนั่งคุยกับตากล้องประจำทีม เธอเป็นชาวปราจีนบุรี เป็นนักเดินทาง เลยถามไถ่เรื่องจังหวัดของเธอ
เธอบอกว่าต้นโพธิ์ที่อำเภอศรีมหาโพธิ์นำมาจากอินเดีย และเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดด้วย
เธอบอกอีกว่าเขาใหญ่จริงๆ แล้วพื้นที่เยอะที่สุดอยู่ในปราจีนบุรีรวมถึงทางขึ้น แต่จังหวัดนครนายก Promote เยอะกว่า
ดูแล้วเธอรักจังหวัดเธอจังนะ
เธอทำงานที่โรงพยาบาลอภัยภูเบศร์
ชอบคำสุดท้าย "ในช่วงนี้อาสาสมัครมีเยอะขึ้นมาก เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน" ดีใจครับที่คนไทยไม่ทิ้งกัน


กลับถึงในเมือง รีบกลับห้อง อาบน้ำ หลับเป็นตาย
ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปอีก


รูปมีน้อย เอามาให้เห็นบรรยากาศครับ





ตอนเดินกลับมาขึ้นรถกลับห้อง โทรศัพท์โม้ลูกสาววัย ๑๑ ขวบว่าพ่อไปเป็นอาสาสมัครมา ลูกบอกว่าอยากไปบ้าง เลยนึกคำในตำราเลี้ยงลูกที่ว่า "การสอนที่ดีที่สุดคือ การทำให้ดู"


รักทีมนี้จัง นักเดินป่า สักวันจะพาลูกไปเดินป่าให้ได้


๑๓ พ.ย. ๕๔
อย่างนี้มันต้องถอน
หลังจากเมื่อยล้ามาเมื่อวาน วันนี้ตั้งใจจะไปอีกวัน พี่จุ่นคนที่นำทางมาติดธุระ วันนี้เลยฉายเดี่ยว


ตอนเช้าแม่โทร.มาถามว่า "น้ำเน่ามากเลยใช่ไหม?" ก็ตอบไปว่า "ครับ เน่ามาก" แม่คงงงหากรู้ว่าลงไปแช่น้ำเน่าตั้ง ๒ วัน คิดในใจว่า "ยังไม่คันครับแม่ สบายใจได้"


การเดินทางจากคอนโดใช้วิธีเดิม เติมน้ำใส่ขวดมาล้างเท้าที่บันไดรถไฟฟ้าใต้ดิน จะซื้อรองเท้าบู๊ธก็ไม่ไหวรู้สึกว่าแพง ตามด้วยแอลกอฮอร์ที่มีตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่ ๒๐๐๙ ก็เอามาล้างขาอีกรอบ


เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ลงจากสถานีก็ซื้อขนมปังตามประสาคนมังสวิรัติที่ทานไม่เหมือนคนอื่น ซื้อไข่ต้มตุนไว้ ๒ ฟองด้วย


เข้าไปในสำนักงาน คุณหวานบรรยายภาระกิจในวันนี้ เข้าไปเบิกเสื้อกับน้องกระแต ได้เสื้อสีชมพู สีสวยเชียว
เตรียมตัวมาดี ไม่พกอะไรไปให้เกะกะ พะวักพะวงเลย


มีพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าเมื่อวานทีมนักเดินป่าโรยตัวลงมาจากโทลเวย์เพื่อแจกของชาวบ้าน


ภาระกิจวันนี้ไปถนนโกสุมร่วมใจ เขตดอนเมือง ตรงกันข้ามร้านเจ๊เล้ง
ถ่ายรูปก่อนออกเดินทางกัน





ใช้ถนน Local Road ระดับน้ำจะต่ำกว่าถนนวิภาวดี ที่ตอนนี้กลายเป็นคลองไปแล้ว
รถหกล้อจอดที่ปากซอย ถนนโกสุมร่วมใจ เลยจัดการขนมปังที่เตรียมมา เห็นลุงและป้าคนขับรถซื้อขนมจีนมาทาน เลยถามว่าเขามีไข่ต้มให้ไหม? แกบอกว่าไม่มี งั้นผมมีให้ครับ ท่าทางจะเข้ากันได้ดีกับขนมจีน และผมก็อิ่มขนมปังแล้วด้วย ก็เลย win-win กันทั้งสองฝ่าย


ทีมตัดสินใจเอารถหกล้อลุยเข้าไปตามถนนเพื่อแจกในซอยข้างในสุด
ที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะน้ำที่นี่เน่ากว่าที่เมื่อวานครับ เกรงว่าจะคันกันถ้วนหน้า


ภาพน้ำทุ่วมของถนนสายนี้





แต่แล้วระดับน้ำสูงท่วมท่อไอเสีย เลยต้องกลับรถ ขากลับออกมารถทำท่าจะดับ เลยต้องช่วยกันเข็น เมื่อท่อไอเสียเริ่มพ้นน้ำก็พ่นควันสีขาวคละคลุ้งไปทั่วเลย คนเข็น ชาวบ้านแตกกระเจิง ใครบางคนเลยแซวว่าพ่นยาไล่ยุงกันด้วยทีมนี้ วันนี้มีภาพประกอบเพราะรู้จักตากล้องประจำทีมแล้ว








เลยต้องเอารถมาจอดที่น้ำน้อยแล้วก็ขนของลงเรือกัน





สุดท้ายก็ลุยน้ำเข้าไปแจกของอยู่ดี


รอบแรกผมไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะคนเยอะแล้ว เลยแจกข้าว กับข้าว และน้ำที่รถหกล้อให้กับผู้คนที่ผ่านไปมา มีชาวบ้านอาสาพายเรือเข้าไปส่งข้าวให้ชาวบ้านในซอยด้วย ซอยแคบมากเท่าลำเรือ กว่าจะกลับเรือออกมาได้ เล่นเอาลุ้น


อุปสรรคเดิมๆ คือ ชาวบ้านที่อยู่ซอยต้นๆ ก็จะมาขอของแจก ซึ่งเราก็บอกไปตามหลักการว่าขอไปแจกข้างในก่อน แต่ชาวบ้านก็มาถามบ่อย จนคนคุมของลำบากใจเลยทีเดียว
แต่ก็ยังยึดมั่นในหลักการ


รอบสองเลยได้เข้าไปลุยน้ำกับเขาด้วย หลังจากรอมานานพอสมควร





ลุยเข้าไปถึงซอย ๙ ซอยลึกมากจริงๆ แจกกันทั่วถึง
ผู้ให้ถุงยังชีพบางที่ต้องการภาพหลักฐานการแจก เลยต้องถ่ายภาพให้เห็นชัดๆ เสียหน่อยว่าแจกจริง





เสร็จภาระกิจประมาณห้าโมงเย็น เดินทางกลับเข้าเมือง
มาขนน้ำและถุงยังชีพขึ้นรถต่อ กลับถึงบ้านเวลาใกล้เคียงกับเมื่อวานประมาณสองทุ่ม
วันนี้นั่งรถเมล์สาย ๘ กลับ ถามเขาว่าวิ่งทางเดิมไหม? กระเป๋าบอกว่าวิ่งทางเดิม เลยนั่งมาลงป้ายหน้าคอนโด ลุยน้ำนิดหน่อย


โทร.บอกลูกๆ ให้อนุโมทนาบุญ

อาบน้ำแล้วรีบเข้านอน


ขอบคุณพี่จุ่นนะครับที่ชักนำและแนะนำวิธีการลุยที่ปลอดภัย
ขอบคุณคุณบิว ที่ทำให้มีรูปสวยๆ ประกอบบันทึก
ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ชาวนักเดินป่าทุกคนที่ทำทุกอย่างแบบได้ใจ
ชื่นชมจิตอาสาทุกคนนะครับ เชื่อแล้วครับว่าคนไทยไม่ทิ้งกัน

บุญกุศลที่ทำในสองวันนี้ขอให้ส่งถึงชาวไทยทุกคน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัย กลับมาเป็นปกติสุขไวๆ นะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔

Unforgiven

หัวใจจอมโจร



กำกับ : Clint Eastwood
นำแสดง : Clint Eastwood, Gene Hackmam, Morgan Freeman
ความยาว : 131 นาที
ระดับความชอบ : 8.5/10

น้องหมอโจให้แผ่นนี้มายืมนานแล้ว
ได้ดูตอนน้ำท่วมเพราะอารมณ์ตอนนั้นเหมือนชื่อหนัง แม้จะรู้ว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเมื่อต้องเดินลุยน้ำเน่า น่าจะตั้งใจจัดการให้ดีกว่านี้ นี่แค่เรื่องแรกที่เราสามารถเห็นผลทางกายภาพได้ แล้วเรื่องระดับประเทศอื่นๆ ที่เรามองผลทางกายภาพไม่ได้ จะจัดการได้ไหมนะ?

เปิดตัวหนังออกมาก็มีคำถามมาเลยว่า ทำไมสาวน้อยแสนดีจึงเลือกมหาโจร ขี้เหล้า สารเลว มาเป็นสามี
แล้วก็ตัดไปสู่ฉากรุนแรง ลูกค้ากรีดหน้าโสเภณีที่หัวเราะขนาดของฝ่ายชายที่เล็กเหลือเกิน ก็มันหยามกันมากไป ทนไม่ได้
แต่ท่านนายอำเภอกลับตัดสินแค่ให้ชดใช้เป็นม้า 5 ตัว เหล่าโสเภณีจึงรวมเงินกันประกาศจ้างฆ่าสองหนุ่มที่กระทำการในครั้งนั้น

เหล่ามือปืนทั้งหลายสนใจและเดินทางเข้ามาในเมืองนี้แต่จะโดนนายอำเภอจัดการเสียจนต้องออกจากเมืองไปอย่างสะบักสะบอม

ทีมของพระเอกมี 3 คน ประกอบด้วยเด็กหนุ่ม พระเอก และ เพื่อนพระเอก เจ้าหนุ่มต้องการจะชวนเฉพาะพระเอก แต่สุดท้ายก็ต้องยอม

การต่อสู้ในเรื่องก็สนุกดีตามสไตล์คาวบอย
แต่ผมชอบในเรื่องปมของแต่ละคนมากกว่า
เพื่อนพระเอกที่แสดงโดย Morgan Freeman ตอนแรกก็ดูใจถึงดี กลับกลยเป็นคนไม่กล้า งงเหมือนกัน
หนุ่มน้อยมือปืน ที่บอกในตอนแรกว่าเคยยิงคนมาแล้ว 5 คน แต่หลังจากยิงคนเสร็จก็สั่นและมาเฉลยว่าเพิ่งยิงคนเป็นครั้งแรก
ส่วนพระเอกแรกๆ ยังไม่เผยความโหด จนเพื่อนโดนทารุณจนตาย เขาเลยต้องออกลาย

ที่น่าประทับใจของพระเอกคือเขาซื่อสัตย์ต่อภรรยามาก นี่คงเหตุผลหนึ่งที่สาวน้อยแสนดีเลือกมหาโจรเป็นสามี
อีกอย่างที่มองเห็นคือรักพวกพ้อง เมื่อทำกันขนาดนี้ It's unforgiven ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหนัง

สุดท้ายจบแบบ Happy Ending และก็ทิ้งท้ายให้คนดูคิดว่าทำไมสาวน้อไแสนด์จึงเลือกมหาโจร ซึ่งคงได้คำตอบกันแล้ว

โดยรวมหนังสนุก น่าติดตาม สมแล้วที่น้องหมอโจจะบอกว่าเป็นหนังของปู่คลิ้นส์ที่เขาชอบที่สุด หลายคนน่าจะเป็นสาวกปู่ฯ เนื่องมาจากหนังเรื่องนี้

Post ใน Facebook หลังดูจบไปว่า "แม้ไม่ใช่แฟนปู่ฯ แต่ก็รู้ว่าอภัยให้มิได้"
แต่ถึงวันนี้ที่น้ำลดแล้วก็เฉยๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป รวมทั้งความโกรธ

ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้พวกเขาคิดได้ ทำอะไรดีๆ ให้กับแผ่นดินนี้บ้าง
เขาได้โอกาสในการทำดีกับแผ่นดินนี้ในภาพกว้างเพราะกระทบกับคนหลายคน หากทำจากเจตนาไม่ดี ผลกระทบก็จะเกิดกับคนหลายคน
ไม่บุญมากก็บาปหนักแหละครับ

เมื่อชีวิตสิ้นไป ท่านยมบาลจะบอกท่านเองว่า Unforgiven หรือไม่?
ขอให้โชคดี

ขอให้คนไทยสู้ๆ นะครับ ยึดในหลักธรรมกันไว้ ผ่านมาผ่านไป หาจุดเรียนรู้ แก้ไขป้องกัน
น้ำท่วมบ้าน อย่าให้มาท่วมใจ ใจนิ่งๆ ว่างๆ ค่อยๆ แก้ไขกันไป ไม่ยึดติด เราจะสอบผ่านและจะไม่ต้องเจออีก

มีความสุขทุกคนครับ

วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว

เกษตรกรรมนำสู่นิพพาน




ผู้เขียน : มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ
ผู้แปล : รสนา โตสิตระกูล
สำนักพิมพ์ : มูลนิธิโกมลคีมทอง
จำนวนหน้า : 224 หน้า
ราคา : 200 บาท
ระดับความชอบ : 9.5/10

เป็นหนังสือที่อยู่ใน Waiting List มานานพอสมควร พยายามหามาตลอด จนได้เจอครั้งแรกที่ร้านเล่า ณ เชียงใหม่
แต่ครั้งนั้นไม่ได้ซื้อ เพราะยังรับไม่ได้กับการซื้อหนังสือเต็มราคา และกำลังทะเลาะกับเพื่อนที่ไปด้วย
ครั้งต่อมาที่ได้ไปเยือนร้านเล่าแบบ ชิล ชิล เวลาเหลือเฟือ ทำใจเรื่องราคาหนังสือมาแล้ว
แล้วหนังสือเล่มนี้ก็มาอยู่ในมือ พร้อมด้วยหนังสือเล่มอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
วันนั้นสอบถามคนขายถึงเล่มโน้นเล่มนี้ เธอก็ไปหยิบและแนะนำเป็นอย่างดี
ชอบตอนที่ถามถึงเล่ม หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว คนขายบอกว่าลองหาหนังสือมือสองดีกว่าไหมพี่ ถูกกว่ากันเยอะเลย จริงใจดีครับ
สาเหตุสำคัญอีกอย่างที่สนใจหนังสือเล่มนี้เพราะชื่อของผู้แปลครับ เธอเป็นคนดีในดวงใจผมเสมอมา

ในเล่มนี้ผู้เขียนบอกเล่าเรื่องราวการทำการเกษตรธรรมชาติซึ่งไม่ใช่แค่ไม่ใช้ยาปราบศัตรูพืชหรือสารเคมีเท่านั้น แต่รวมไปถึงการไม่ไถพลิกดินด้วย เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จก็เอาฟางที่ไม่ได้สับปูบนผืนนาเพื่อทำปุ๋ยไปเลย
การทำแบบนี้ทำให้เกษตรกรมีเวลาว่าง และเมื่อถึงจุดสมดุลผลผลิตก็ไม่ต่างจากการเกษตรแบบปัจจุบันที่ไถพลิกดินและใช้สารเคมี ทุกอย่างผู้เขียนทำด้วยตนเองเป็นการพิสูจน์

คุณฟูกูโอกะเคยเป็นนักวิจัยเกี่ยวกับพืชมาก่อน และได้นำประสบการณ์ช่วงนั้นมาปรับใช้กับเกษตรธรรมชาติที่เขามาทดลองทำเอง

แนวคิดของการทำการเกษตรของผู้เขียน เกษตรกรต้องมีเวลาว่างหาความสุข มีเวลาเขียนกาพย์กลอน วาดรูป ไม่ใช่ต้องมาคร่ำเคร่งตลอดทั้งปี
ปัญหาเกิดจากการพัฒนาไปสู่ทุนนิยม ทำให้ต้องลดจำนวนของเกษตรกร เลยต้องทำให้ผลผลิตของเกษตรกรต่อคนสูงขึ้น จึงต้องทำนาปีละหลายครั้งขึ้นและใช้สารเคมีเข้าช่วย
ต้องถือเป็นความผิดพลาดในการพัฒนาประเทศหรือของโลกเลยทีเดียว

คุณฟูกูโอกะบอกอีกว่าให้ปลูกในสิ่งที่เราจะเอามากิน ที่เหลือค่อยนำไปขาย ไม่ใช่ปลูกเพื่อไปขายแล้วค่อยมาซื้อกิน
เหมือนกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงเลย

ในเกษตรธรรมชาติ ธรรมชาติจะควบคุมศัตรูพืชกันเอง และจะเกิดสมดุล

อาหารคือชีวิต และชีวิตต้องไม่เดินถอยห่างจากธรรมชาติ 
อย่ากินอาหารด้วยสมอง 
ให้กำจัดจิตที่แบ่งแยกออกมาจากธรรมชาติ
อาหารต้องอิงตามที่มีอยู่ในฤดูกาลต่างๆ การปลูกพืชนอกฤดูกาลเป็นการฝืนธรรมชาติ
หลักโภชนาการที่นำมาจากตะวันตกทำให้ต้องตุนอาหาร และต้องมีอาหารหลายชนิดตลอดปี ซึ่งตามธรรมชาติเป็นไปไม่ได้ เช่น เนื้อสัตว์
ดังนั้นเราควรดูก่อนว่าในแต่ละฤดูกาลปลูกอะไรได้บ้าง แล้วค่อยวางแผนบริโภค
ผู้เขียนมีผังอาหารตามฤดูกาลให้ และบอกอีกว่าหากไปศึกษาแล้วต่างจากนี้ ก็ให้ใช้สิ่งที่ตนศึกษาเป็นสรณะ
ไม่ให้ยึดติดอีกต่างหาก เยี่ยมจริงๆ

ผู้เขียนยกตัวอย่างการเลี้ยงไก่แบบปล่อย การปลูกผลไม้แบบธรรมชาติ จะให้ผลผลิตที่อร่อยกว่า ไข่แดงของไข่ไก่จะแดงกว่า

ผู้เขียนตั้งคำถามในตอนท้ายเล่ม ในแนวนี้
ทำไมต้องเติบโต? เติบโต 0% แต่มีของกินจะเป็นอะไร?
ทำไมต้องใช้สารเคมี?
ทำไมต้องทำนาปีละ 3 ครั้ง? 

มีการพูดถึงนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ ของธรรมชาติ
เขาบอกว่า บทบาทของนักวิทยาศาสตร์เหมือนเป็นผู้แบ่งแยกจิตของคุณออกจากธรรมชาติ

ที่ปกหลังเขียนไว้ว่า
ฟูกูโอกะเชื่อว่าเกษตรกรรมธรรมชาติสืบสายมาจากสภาวะแห่งความไพบูลย์ทางจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล เขาถือว่าการบำรุงรักษาผืนแผ่นดินและการชำระจิตใจของมนุษย์ให้บริสุทธิ์เป็นกระบวนการเดียวกัน
เขากล่าวว่า "เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรมไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์" และด้วยเหตุที่เราไม่อาจแยกด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตออกจากด้านอื่นๆ เมื่อเราเปลี่ยนแปลงลักษณะอาหาร เปลี่ยนแปลงลักษณะสังคม และเปลี่ยนแปลงค่านิยมของเราไปด้วย 


ดังนั้นหากเราเปลี่ยนแปลงธรรมชาติน้อยที่สุด เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติก็ไม่กระทบและไม่เปลี่ยนแปลง จิตวิญญาณเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
เมื่อธรรมะคือธรรมชาติ
การทำเกษตรธรรมชาติก็คือการปฏิบัติธรรม และเป็นหนทางไปสู่การหลุดพ้นนั่นเอง


ไม่ใช่แค่ทำการเกษตร แต่เป็นทางสายเอกสู่นิพพาน
ยิ่งใหญ่จริงๆ ครับคุณฟูกูโอกะ


มีความสุขทุกคนครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

Swing Girls

เมื่อเด็กไม่เอาไหนจะเล่น Jazz



กำกับ : Shinobu Yaguchi
นำแสดง : Juri Ueno, Yûta Hiraoka, Shihori Kanjiya
ความยาว : 105 นาที
ระดับความชอบ : 8.25/10

อยากชมหนังเรื่องนี้เพราะเพื่อนใน Blog ชื่นชมไว้ เมื่อเห็นในร้านขาย DVD เลยเอามาชมเสียหน่อย

หนังเป็นเรื่องราวของนักเรียนผู้หญิงมัธยมปลายที่สอบตก และต้องมาเรียนซ่อมตอนปิดเทอม 
ในช่วงนั้นวงดุริยางค์จะต้องไปแข่งในต่างถิ่นแต่ลืมอาหารกลางวัน เด็กๆ ในห้องเรียนเลยอาสาไปส่งให้เพื่อนๆ แล้วเรื่องราววุ่นๆ ก็เกิดขึ้น สุดท้ายเพื่อนๆ ในวงดุริยางค์ท้องเสียกันหมดเลย
กลุ่มนักเรียนที่ไปส่งข้าวห่อเลยพยายามจะมาทำหน้าที่แทน


นางเอกเป็นเด็กไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ทำจริงจังสักที จนมาเล่นดนตรี เปลี่ยนแนวดนตรีที่จะเล่นจนมาเจอ Swing Jazz 
แล้วเธอก็ข้ามพ้นความไม่เอาจริงด้วยดนตรี


หนังเดาทางได้ไม่ยาก แต่เมื่อเป็นหนังญี่ปุ่นเลยจะออกไปทางน่ารัก ได้เห็นบรรยากาศท้องทุ่งในฉากส่งข้าวเที่ยง เห็นการเล่นดนตรีตามที่ต่างๆ เห็นครอบครัวของคนญี่ปุ่น เห็นโรงเรียน ห้องฝึกซ้อมดนตรี 
ดูแล้วอบอุ่นดีครับ


ผมว่าวัยมัธยมนี่สำคัญและอยู่ในความทรงจำดีนะครับ โดยเฉพาะมัธยมปลาย
เพื่อนที่สนิทที่สุดก็คือเพื่อนในช่วงมัธยมปลาย คงเพราะยังเป็นเด็กและยังไม่มีหน้ากากอะไรมาใส่กันมาก ใสๆ จริงใจ เลยประทับใจกันจนถึงวันนี้
ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็คิดถึงชีวิตวัยนั้น ที่สดใส ร่าเริง จินตนาการไปได้เรื่อย


ด้วยในวัยที่เป็นพ่อก็คงต้องเอาหนังแนวนี้ไว้เตือนตัวเองว่า วัยแบบนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ เขาจะมีอิสระ ต้องคอยตามดูห่างๆ ทำให้เขาไว้ใจที่จะเล่าให้เราฟังในเรื่องต่างๆ แล้วอย่าไปปิดกั้นเขา ลองนึกถึงเราในวัยนี้ คงไม่ชอบหากใครมาขวางสิ่งที่เราคิด ลูกเราก็เหมือนกันครับ
เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายเขาก็ต้องคิดเอง


ดูแล้วสดใส มีความสุข เพลงก็สนุกสนานตามแนว Swing Jazz


หามาดูจะได้รู้ชีวิตวัยรุ่น
ที่เราก็เคยผ่าน แต่อาจลืมไป


มีความสุขทุกคนครับ

วันจันทร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

50/50

ครึ่งๆ




กำกับ : Jonathan Levine
เขียนบท : Will Reiser
นำแสดง : Joseph Gordon-Levitt, Seth Rogen, Anna Kendrick
ความยาว : 100 นาที
ระดับความชอบ : 9.25/10

เห็นหลายคนพูดถึง ตอนแรกก็ไม่สนใจ บ่อยเข้าๆ เลยชักสนใจ สุดท้ายเข้าไปดูคะแนน สูงทีเดียว
ก็เลยตัดสินใจไปชม เหลือแต่ที่ House Rama ที่เดียว

ชวนน้องสาวที่มาจากต่างจังหวัดไปดูด้วยกัน
หนังดูคึกคัก เพลงประกอบก็เร้าใจดี
บทพูดเยอะทีเดียว

พระเอกทำงานด้านสารคดีแผนกเสียง มีแฟนเป็นนักวาดรูป มีเพื่อนสนิทที่ทำงานเดียวกันที่ปากไม่ค่อยดี โฉ่งฉ่าง แต่รักจริง
ส่วนแฟนสาวที่อยู่ด้วยกันเอาใจออกห่างแล้วสุดท้ายก็ปันใจเพื่อความก้าวหน้าในงาน
ก็ได้เจ้าเพื่อนปากเสียนี่แหละที่ช่วยทำลายรูปวาดเพื่อลืมเธอ
ชอบฉากพระเอกหิ้วเพื่อนมาส่ง แล้วแอบเห็นหนังสือที่เพื่อนอ่านแล้วอึ้ง เพราะทั้งพับและขีดเน้นคำ
เล่มที่อ่านคือการรักษาโรคมะเร็ง

พระเอกเป็นมะเร็งที่กระดูกสันหลังชนิดที่รักษายาก แม้แต่ชื่อโรคยังเรียกยากเลย
หนังมีอารมณ์ขันเป็นระยะๆ และเศร้าแบบหนังชีวิตเป็นสัดส่วน 50/50
เมื่อทราบผลพระเอกก็บอกทุกคน คนที่บอกเป็นเรื่องเป็นราวที่สุดคือคุณแม่ เพราะพระเอกเห็นว่าคุณแม่มักจะตกใจแล้วจะโวยวายกับเรื่องต่างๆ อีกอย่างเธอต้องดูแลสามี (พ่อพระเอก) ที่เป็นโรคความจำเสื่อม
เมื่อเธอบอกว่าจะมาดูแลที่บ้านพระเอก เขาก็เลยปฏิเสธ โดยผู้ที่รับอาสาดูแลคือแฟนสาว

พระเอกขับรถไม่เป็น แฟนเลยต้องไปส่งทำเคมีบำบัด แต่ไม่เธอไม่เข้าโรงพยาบาลด้วยโดยให้เหตุผลว่ากลัวภาพในโรงพยาบาลจะทำลายจินตนาการในการวาดรูปของเธอ
พระเอกจึงใช้วิธีโทร.เรียกเมื่อทำคีโมเสร็จ
ครั้งหลังๆ จะมีการมารับช้ามาก แต่พระเอกก็รับได้

ในห้องคีโมจะมีเพื่อนที่ต้องมาบำบัดด้วยกัน 2 คน ซึ่งล้วนสูงอายุ บทสนทนากันระหว่าง 3 คน เป็นธรรมชาติดีมากครับ ปูเรื่องได้ดี ฉากพระเอกและเพื่อนไปเยี่ยมบ้านของเพื่อนผู้สูงวัย ดูเขามีความสุขและอาการดูดีขึ้น แต่เขาก็ตายในเวลาต่อมา

ในช่วงที่เข้าทำเคมีบำบัด พระเอกต้องไปพบจิตแพทย์มือใหม่ สุดท้ายก็ผลัดกันรักษาแบบ 50/50
ชอบมุกจิตแพทย์ที่เพิ่งเลิกกับแฟน แล้วยังวนเวียนเข้าไปดูใน Facebook ของแฟนเก่า เพื่อดูความเคลื่อนไหวของเขา จะว่าไปหลายคนก็คงเป็นแบบนี้นะในปัจจุบัน

ภาพในใบปะหนังเป็นฉากที่พระเอกเอาบัตตาเลี่ยนโกนหัว ยังไม่วายมีมุกตลกมากมายในฉากนี้
หนังเรื่องนี้จะให้น้ำหนักระหว่างหนังชีวิตกับหนังตลกในระดับ 50/50

สุดท้ายคนที่มาดูแลคือคุณแม่ ประโยคที่พระเอกถาม “ทำไมผมไม่รู้ว่าแม่เข้ากลุ่มบำบัด?” “ก็ลูกไม่เคยโทรกลับเลย” แม่ตอบ ทำเอาสะอึกกันไปเลยครับ
ฉากร่ำลาพ่อ แม่ และเพื่อนก่อนเข้าไปผ่าตัด เรียกน้ำตาคนที่นั่งข้างๆ ผมไปเสียยกใหญ่ ไม่ใช่น้องสาวผมนะครับ แต่เป็นใครไม่รู้ จากอาการสะเอื้อน เธอร้องไห้ครับ เล่นเอาผมตารื้นไปเหมือนกัน
แต่ผมกลับชอบประโยคของเพื่อนรัก “ทำไมหมอไม่พูดประโยคหลังนี่ก่อน” เมื่อหมอแจ้งออกมาแจ้งว่าพระเอกปลอดภัย

หนังเรื่องนี้แข็งแรงในแนวคิด 50/50
คนเราไม่มีอะไรเป็น 100/0 หรอกครับ
คนรักเรา คนเกลียดเรา ก็มีประมาณ 50/50
ความสุขกับความทุกข์ก็ประมาณ 50/50
ข่าวดีกับข่าวร้าย ก็ 50/50
ยิ่งทบทวน ก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้ครับ เล่นกับสัดส่วน 50/50 ได้ลงตัวจริงๆ

ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับชีวิตนี้
มันแค่ 50/50 เท่านั้นเอง
ดังนั้นไม่ต้องยึดติดครับ เพราะยังเหลืออีกตั้งครึ่ง

มีความสุขทุกคนครับ

วันศุกร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

Never Let Me Go

คนไม่มีสิทธิ์



กำกับ : Mark Romanek
เขียนบท : Kazuo Ishiguro (novel), Alex Garland (screenplay)
นำแสดง : Keira Knightley, Carey Mulligan, Andrew Garfield
ความยาว : 103 นาที
ระดับความชอบ : 9.25/10

เป็นหนังที่หลายคนกล่าวถึง เมื่อได้ดูก็ขอชื่นชมใน Plot เรื่อง คิดได้เก่งมาก

เปิดตัวที่นางเอกกำลังมองผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะเข้าห้องผ่าตัด พร้อมทั้งบรรยายหน้าที่ของเธอ อายุ แล้วก็ตัดภาพไปในวัยเด็กของเธอและเพื่อนรักอีก 2 คน

ณ โรงเรียนประจำเฮลแชมในปี 1978 เรื่องราวของเด็กหญิงสองคนและเด็กชายเกิดขึ้นที่นี่
คงเหมือนโรงเรียนประจำทั่วไปที่มีกฎระเบียบเข้ม เรื่องราวความรักของสองหญิงหนึ่งชายก็เกิดขึ้น
ชายชอบอีกคน แต่สุดท้ายผู้หญิงอีกคนมาแย่งไปเสีย Plot จะไม่มีอะไรเลยหากไม่ได้เกิดในโรงเรียนของคนที่ถูก Cloning และทุกคนจะต้องค่อยๆ สละอวัยวะเพื่อเอาไปช่วยชีวิตมนุษย์ ทีละชิ้นๆ จนสุดท้ายทุกคนก็ตาย
ที่โหดร้ายกว่านั้นคือพวกเขาและเธอจะพบรักกันไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายก็ต้องตายจากกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
อีกเรื่องที่คนเหล่านี้อยากรู้คือพวกเขาและเธอ Cloning มาจากใคร? ซึ่งคงได้แต่อยากรู้ ถึงหาตัวเจอก็ไม่มีประโยชน์


ชื่อหนังมาจากประโยคหลักของเพลงที่พระเอกมอบให้นางเอก เพลงนี้ไพเราะดีเหลือเกิน
ดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้ดึงอารมณ์ได้ดีมากในทุกฉากทุกตอน
ภาพในอดีตทำได้สวยและสมจริงดี เหมือนมีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในอดีต


ช่างเป็นชีวิตที่น่าสงสาร เพราะทุกคนมีเลือดเนื้อ จิตใจ แต่เลือกแนวทางชีวิตไม่ได้เลย

หากวิทยาการออกมาในรูปนี้จริง ก็น่าคิดนะ
เพราะจะมีมนุษย์อีกพวกหนึ่งที่จะโดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจตลอดเวลา 

Plot เรื่องแหวกแนว เดินเรื่องดี ดนตรีไพเราะ ลองหาหนังเรื่องนี้มาชมครับ

เพื่อการมีชีวิตยืนยาวของมนุษย์ เราต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ?

มีความสุขทุกคนครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔

The Cove

อย่าด่วนตัดสิน



กำกับ : Louie Psihoyos
เขียนบท : Mark Monroe
นำแสดง : Richard O'Barry, Louie Psihoyos, Hardy Jones
ความยาว : 92 นาที
ระดับความชอบ : 7/10

เพิ่งได้ชม ได้แผ่นมาจากเพื่อนในที่ทำงาน เขาบอกว่าได้รางวัลออสการ์ประเภทสารคดี

ในแง่ตัวหนัง ทำได้ตื่นเต้น ลุ้น เป็นหนังสารคดีที่สนุกมาก การเลือกคนมาปฏิบัติการก็สนุก เหมือนหนัง Team ปฏิบัติการต่างๆ

ส่วนเนื้อเรื่องผมค่อนข้างต่อต้านตั้งแต่แรก
โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชื่นชอบชนชาติญี่ปุ่น ในทางกลับกันก็ไม่ชอบอเมริกัน
ไม่ชอบการตัดสินคนอื่น ซึ่งหนังเรื่องนี้ทำตัวเป็นศาลเตี้ยมากๆ เลย
ถ้าให้เจ๋งจริง ต้องทำความเข้าใจชาวไทจิให้ได้ว่า ทำไมเขาถึงต้องฆ่าปลาโลมา ที่เขาบอกไว้ในบางตอน จริงไหม?
ทำให้ชาวไทจิยอมรับ เห็นว่าไม่ดีจริงๆ สารปรอทสูงจริงๆ แล้วเขายอมลดการล่าลงมาอย่างเต็มใจ
Win-Win Concept น่ะครับ อเมริกันคิดมามิใช่หรือ?

จริงๆ แล้วผมว่าคนญี่ปุ่นเท่าที่ผมรู้เป็นคนเคร่งศาสนา ผมเชื่อว่าเขารู้ว่าสิ่งที่ทำน่ะบาป แต่ต้องมีเหตุผลของเขาเพื่อมารองรับการกระทำนี้ ซึ่งน่าสนใจ อยากได้ยิน

จะว่าไปอเมริกันเสียอีกที่ทำลายล้างโลกอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ลงนามลด CO2 จนป่านนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าลงนามหรือยัง?
อดีตรองประธานาธิบดีมาเรียกร้องให้รักโลกก็หาว่าเขา Fake

อ่านเจอใน Blog หนึ่งบอกว่า Ric O'Barry คนที่เป็นหัวหน้าของปฏิบัติการเคยเป็นคนฝึกปลาโลมาจนโด่งดังทำเป็นหนัง The Flipper จนปลาโลมาได้รับความนิยมไปทั่วโลก
แล้วเขาก็ต้องอึ้งเมื่อปลาโลมาตัวหนึ่งกลั้นหายใจตายเพราะทนกับการอยู่ในบ่อแคบๆ ไม่ได้
มันรักอิสระ
แต่ตอนนั้นความต้องการปลาโลมามีทั่วโลกแล้ว เมื่อมีอุปสงค์ก็ต้องมีอุปทาน ไทจิมีปลาโลมา ก็จับไปขายสิครับ หรืออเมริกันจะไม่ทำอย่างนั้น ถ้ามีทรัพยากร
เริ่มต้นไว้เองนะครับ
ชอบที่คุณ Ric O'Barry กลับตัวกลับใจ และขอชื่นชม เพราะคุณโนเบลก็เปลี่ยนตัวเองจากนักค้าอาวุธสงคราม มาให้รางวัลต่อคนทำดีต่อโลก เพราะเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นโทษ
แต่ไม่ใช่มาอนุรักษ์ด้วยการพิพากษาคนอื่น

ถอยมาให้เห็น พิจารณา แล้วเลือกทางที่ถูก เท่านี้ก็น่าชื่นชมแล้ว
แต่อย่าแทรกแซง ตัดสินคนอื่นเลยครับ มันไม่ดี
เพราะการทำอย่างนั้นรังแต่จะเกิดการทะเลาะและเกิดการไม่ยอมรับกันเปล่าๆ
โลกเราร้อนพอแล้ว อย่าทำให้ใจร้อนอีกเลยครับ

ลองดูหนังเรื่องนี้นะครับ แล้วดูว่าคุณคิดอย่างไร หนังสนุกมากครับ

มีความสุขทุกคนครับ

ปล. มี Web site ที่บอกไว้ในหนัง ลองเข้าชมดูครับ TakePart.com/TheCove

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

พุ่มพวง

แด่ราชินีเพลงลูกทุ่งตลอดกา​ล



กำกับ : บัณฑิต ทองดี
นำแสดง : เปาวลี พรพิมล, ณัฐวุฒิ สกิดใจ, บุญโทน คนหนุ่ม
ระดับความชอบ : 9.5/10

ผมโตมากับเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์
สมัยผมเด็กๆ เธอดังมาก เพลงเธอไพเราะมากๆ
แต่เธอก็จากไปด้วยอายุเพียง​ 31 ปี
แล้วโรคที่เธอเป็นก็เรียกว่​า โรคพุ่มพวง

เคยรู้มาก่อนแล้วว่าเธออ่าน​หนังสือไม่ได้ ต้องใช้การอ่านให้เธอฟังเพื​่อจำเอา ในหนังบอกว่าเพียงรอบเดียวเ​ธอก็จำได้
เนื้อเสียงของเธอใครได้ยินต​้องอึ้ง เสียงใส ไพเราะมาก

อ่านเจอประวัตินางเอก เป็นคนสุพรรณบุรีเช่นเดียวก​ับแม่ผึ้ง
ร้องเพลงลูกทุ่งประกวดกวาดม​าทุกเวทีแล้ว
เล่นหนังเรื่องแรก ร้องเพลงเองเลย ทำได้ดี สอบผ่านครับ
ดาราคนอื่นก็เล่นดีทุกคน

ชอบพ่อไวพจน์ในเรื่องการให้​อภัยคือหัวใจของวงการเพลงลู​กทุ่ง คนบ้านนอกก็แบบนี้แหละครับ ไม่เกลียดกันไปตลอดหรอก อภัยกันไปก็จบ
แล้วพุ่มพวงก็ให้อภัยที่ยิ่​งใหญ่มาก

ได้เห็นประวัติของราชินีเพล​งลูกทุ่ง
เห็นความมุ่งมั่น สู้ไม่ถอย จนเถ้าแก่ต้องยอมแพ้ใจของเธ​อ

ประเด็นรักของแม่และการหยอก​ล้อของผึ้งกับแม่ก็ชัดเจน ไม่ว่าเกิดอะไร รักของแม่ยิ่งใหญ่เสมอ

ชอบบทพูดของพุ่มพวงหลายตอน แสดงถึงความจริงใจของคนบ้าน​นอกได้ดี เรียกเสียงหัวเราะให้ผู้ชมไ​ด้เป็นระยะๆ

เพลงประกอบหายห่วง ไพเราะตั้งแต่แก้วรอพี่ เพลงแรกของเธอเลยทีเดียว

ใครยังลังเล กรุณาไปดูครับ รับรองคุณต้องชอบ
ยิ่งพาคุณพ่อคุณแม่ไปชม ท่านชอบแน่นอนค​รับ

ต่อไปนี้ Spoil ครับ ข้ามไปก็ได้ครับ
น้ำตาไม่ไหล จนท้ายเรื่องกลั้นไม่อยู่เล​ยทีเดียวเมื่อได้เห็นหน้าพุ​่มพวง ดวงจันทร์ อีกครั้ง
คิดถึงเธอครับ เห็นลีลาบนเวที รอยยิ้ม ไม่ไหวแล้ว
คุณป้านั่งข้างหลังพูดภาษาใ​ต้กับเพื่อนเธอตอนเดินออกจา​กโรงฯ ว่า "เดี๋ยวมาดูอีก สงสารมัน" ไอ้เราก็เดินปาดน้ำตา นึกตำหนิผู้กำกับที่มาเรียก​น้ำตาตอนท้าย น่าจะก่อนนี้ซักนิด น้ำตาจะได้แห้งเสียหน่อย

หนึ่งความฝันของคนๆ หนึ่ง นำมาสู่ความสุข ความทรงจำของคนทั้งประเทศ
ขอคารวะดวงวิญญานของแม่ผึ้ง
หากมีบุญกุศลใดที่ผมได้ทำ ขออุทิศให้แม่ฯ
ขอบคุณสำหรับบทเพลงที่หล่อเ​ลี้ยงผมมาจนโตครับ

หนังเรื่องนี้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงค​รับ!

วันอังคารที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

Chungking Express

คนอกหักกับรักใหม่




กำกับ : หว่อง กาไหว่
นำแสดง : ทาเคชิ คาเนชิโร่, หลิน ชิงเสีย, เหลียง เฉาเหว่ย, เฟย์หว่อง
ความยาว : 98 นาที
ระดับความชอบ : 10/10

1 May 1994 เป็นเวลาที่เรื่องราวของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้น
วันดังกล่าวเป็นวันเกิดของอาหวู่ ตำรวจหมายเลข 223 ประจำย่าน Chungking ที่เป็นเหมือนถนนข้าวสารในเมืองไทย จึงมีชาวต่างชาติเยอะแยะ
เขาถูกแฟนบอกเลิกเมื่อ 1 April 1994
แต่เขายังไม่เชื่อเฝ้ารอคอยข้อความมาขอคืนดีผ่านเพจเจอร์ เขาโทรศัพท์ไปหาที่บ้านแฟนโดยคุยกับพ่อและแม่แฟน และบอกกับพวกเขาว่าเดี๋ยวแฟนก็ติดต่อกลับมาเอง
คบกัน 5 ปีทำให้อาหวู่รู้จักคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างดี
แฟนของอาหวู่ชอบกินสัปปะรดกระป๋อง เขาเลยซื้อไว้ทุกวัน เลือกกระป๋องที่หมดอายุในวันเกิดเขา เขาเชื่อว่าไม่เกินหนึ่งเดือนแฟนของเขาจะติดต่อกลับมา
แต่ทุกอย่างต้องมีหมดอายุ อาหารกระป๋อง กระดาษ ไม่เว้นแม้แต่ความรัก
บทในหนังดีเหลือเกิน ในช่วงที่พระเอกคิด ยิ้มได้หลายตอนเลย
ประเด็นวันหมดอายุ เคยได้ยินในเรื่อง พลอย มาเรื่องนี้เอามาใช้เต็มๆ มากกว่า ชอบครับ

เรื่องของสาวผมทองก็ตัดมาให้ชมเป๊นระยะ เธอพัวพันกับชาวต่างชาติ แล้วของเธอหายตอนจะไปขึ้นเครื่องบิน เธอเลยออกตาม
ชอบฉากที่ลักพาลูกสาวคนอินเดีย สุดท้ายเธอก็ปล่อย เพราะท่าทางพ่อจะเห็นแก่เงินมากกว่า

หนังยังอยู่ในช่วงที่ไม่มีมือถือ เลยใช้โทรศัพท์บ้านเป็นหลัก

แล้วอาหวู่ก็กินสัปปะรด 30 กระป๋องในคืนก่อนวันเกิด เขาบอกว่าดีนะที่แฟนเขาชอบสัปปะรด หากเป็นทุเรียนเขาคงแย่
แต่ท้องไส้ก็ปั่นป่วน
พระเอกจะไปดื่มเหล้าโทรศัพท์ชวนใครก็ไม่ว่างซักคน สุดท้ายจะมาชวนเด็กในร้านอาหารด่วนแบบ Express แต่เธอก็มีแฟนไปเสียแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นชื่อเดียวกับแฟนเขาเลย อาหวู่คิดในใจว่าโดนหักอกจากผู้หญิงชื่อเดียวกันถึงสองคนในคืนเดียวกัน
แล้วเขาก็มาพบสาวผมทอง ที่เพิ่งยิงคนมาหมาดๆ
อาหวู่พยายามจีบเธอ ถามเธอว่าชอบกินสัปปะรดกระป๋องไหม? เพราะเขาไม่รู้จักแฟนเขาดีพอเลยโดนทิ้ง
สาวผมทองที่แสดงโดยหลิน ชิงเสียเลยถามว่าเขาอายุเท่าไหร่
แต่สุดท้ายเขาทั้งสองก็ไปที่โรงแรม สาวผมทองเธอหลับสนิท ส่วนอาหวู่ดูหนังไปสองเรื่อง ทานอาหารไปสี่จาน

เช้านั้นอาหวู่วิ่งกลางสายฝน เขาจะวิ่งเมื่ออกหัก เหงื่อออก น้ำหมดตัวจะได้ไม่ร้องไห้
แล้วก็มาส่งเรื่องต่อเมื่อ Chungking Express มีเด็กหน้าร้านใหม่ชื่ออาเฟ
ซึ่งอาหวู่ไม่ชอบ แต่ต่อมาเป็นคนรักของตำรวจรหัส 663 ที่แสดงโดยเหลียง เฉาเหว่ย


663 อกหักจากแอร์โฮสเตส เขาเลยซึมเศร้า พูดกับของทุกชิ้นในบ้านอย่าให้เสียใจไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาหรือว่าสบู่
แล้ววันหนึ่งแอร์โฮสเตสก็เอาจดหมายฝากไว้ให้คุณตำรวจ เถ้าแก่และทุกคนในร้านแอบอ่าน รวมทั้งอาเฟ
แต่พอจะเอาจดหมายให้พระเอก เขากลับไม่เอา นางเอกเลยเอากุญแจในซองจดหมายแอบไปไขห้องพระเอก และจัดบ้านให้ทุกวัน เปลี่ยนตุ๊กตา เติมปลาในตู้ เปลี่ยนสบู่ แก้วแปรงฟัน ทำสารพัด


แล้ววันหนึ่งพระเอกก็มาเจอ ก็เลยชวนอาเฟออกเดท
ท่าวิ่งของเหลียงเฉาเหว่ยเป็นเอกลักษณ์มาก ตอนดูก็นั่งคิดว่าจะได้เห็นไหม? เหมือนหว่อง กา ไว จะรู้เลยจัดฉากนี้ให้


แต่นัดแรกก็ไม่เจอกัน เถ้าแก่เอาจดหมายอาเฟมาให้แทน
ฝนตกในหลายฉาก รวมถึงฉากนี้ ใครบางคนเลยแนะนำให้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนฝนตกจะได้อารมณ์มาก
แล้วพระเอกก็ไม่อ่านจดหมาย ทิ้งถังขยะ ฝนตก มาคว้ากลับจากถัง จดหมายเปียกต้องเอาไปอบในตู้ใส่พายในร้านสะดรกซื้อ ดูฉลกเหล่านี้แล้วอินจังเลยครับ
"เขียนจดหมายให้คุณก็คงไม่อ่าน" นางเอกค่อนตอนท้ายเรื่อง แบบว่ารู้นิสัย


ฉากปิดท้ายน่ารัก อิ่มเอม ดูจบยืนยกสองนิ้วหัวแม่โป้งให้ คิดไปถึงคะแนนระหว่าง 9.75 กับ 10 ก็ได้แต่คิดว่าจะกั๊กไปทำไม ถูกใจขนาดนี้


หลายคนบอกจะเหงาเมื่อได้ชม แต่ผมมีความสุข ทุกคนเหงาครับ โดยเฉพาะคนในเมืองใหญ่ อีกทั้งถ้าเราอกหักในเมืองใหญ่ คงเป็นเหมือนนายตำรวจหนุ่มสองคนนี้แหละครับ
อยู่ที่ว่าใครจะมีทางออกให้กับชีวิตได้มากกว่ากัน
พระเอกสองคนในหนังเรื่องนี้ คนแรกใช้วิธีวิ่งออกกำลังกาย แต่ดูจะยังไม่หายจากความเจ็บปวดนะ เมื่อมีคำอวยพรวันเกิดเข้ามาก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่มีวันหมดอายุ แม้เขาจะเรียนรู้ในตอนต้นแล้วว่าทุกอย่างต้องมีวันหมดอายุ ไม่เว้นแม้ความรัก ก็คงต้องเรียนรู้กันต่อไป เขาอายุแค่ 25 ปีเท่านั้นเอง
ส่วนคนที่สองก็หมกมุ่นกับภาพอดีต คุยกับสิ่งของทุกชิ้นในบ้าน แต่ยังโชคดีที่มีคนมารักและเขาก็เปิดใจกว้างรับรักใหม่ จึงมีทางออกที่สวยกว่า


โดยส่วนตัวชอบเหลียง เฉาเหว่ย เคยคิดเล่นๆ ระหว่างหลิว เต๋อหัว กับ เหลียง เฉาเหว่ย ชอบใครมากกว่า ผมชอบเหลียง เฉาเหว่ย มากกว่านะ ดูแววตาและรอยยิ้มเวลาแกแสดง ดูเป็นธรรมชาติดี และเรื่องนี้พี่แกก็กวาดรางวัลบนเกาะฮ่องกงมาครองในปี 1995 เรียบร้อย
เควนติน ตารันติโน่ เอาไปฉายในอเมริกาก็ได้รับความนิยมทีเดียว
ชอบนางเอกเฟย์หว่องอีกคน ที่แสดงให้เห็นข้อแตกต่างในตอนต้นได้อย่างชัดเจน จากเด็กกะโปโลผอมกะหร่องมาเป็นสาวสวยในตอนท้าย แตกต่างกันมากมาย
เพลงประกอบก็เป็นสื่อได้อย่างดี "ฉันเป็นคนเอาไปไว้ที่บ้านเอง จะมาบอกว่าแฟนเก่าชอบได้ยังไง?"
นี่หากไม่ได้อาเฟ 663 จะเพ้อเจ้อไปถึงไหนนะ


ภาพในหลายตอนหวือหวา ทันสมัยดี


โดยรวมชอบมากครับหนังเรื่องนี้
แสดงความเหงาของคนอกหักในเมืองใหญ่ การทำอะไรบ้าๆ บอๆ ของคนอกหัก และความโรแมนติกได้อย่างลงตัว
เป็น หนังในดวงใจ เรื่องล่าสุดไปเลยครับ

มีความสุขทุกคนครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

Suck Seed ห่วยขั้นเทพ

ความฝัน ความรัก ดนตรีและเพื่อน



กำกับ : ชยนพ บุญประกอบ
นำแสดง :
จิรายุ ละอองมณี (เก้า) รับบทเป็น เป็ด
พชร จิราธิวัฒน์ (พีช) รับบทเป็น คุ้ง / เค
ณัฐชา นวลแจ่ม (แนท) รับบทเป็น เอิญ
ธวัช พรรัตนประเสริฐ (เอิร์ธ) รับบทเป็น เอ็กซ์
ระดับความชอบ : 9/10

ตอนแรกที่อ่านบทสัมภาษณ์ในนิตยสารสีสัน ไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่เพราะผู้กำกับพูดถึงหนังว่าเป็นเรื่องการตั้งวงดนตรีซึ่งไม่มีความทรงจำในเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะไม่ได้เล่นดนตรี แต่ลืมไปว่าหูฟังเสียบที่หูมาตั้งแต่จำความได้ ผมชอบฟังเพลงครับ

มาอ่านเจอใน a day ที่สัมภาษณ์น้องแนท ก็ทำให้น่าสนใจขึ้นมาหน่อย เพราะเธอคือลูกสาวของกีตาร์คิง แหลม มอริสัน

จนน้องที่ทำงานบอกว่าชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า กวน มึน โฮ ที่ผมเพิ่งได้ดูและชอบ เลยเพิ่มความอยากพิสูจน์ขึ้นมาอีก

สุดท้ายชื่อพี่เก้ง จิระ มะลิกุล ผู้กำกับในดวงใจเป็นคนโยงใยอยู่เบื้องหลังหนังเรื่องนี้ ทำให้ตัดสินใจไปชม

แล้วก็ไม่ผิดหวัง

หนังปูพื้นตัวละครอย่างแนบเนียน ทำไมพระเอกจึงชอบฟังเพลง และมุกเหมือนมีศิลปินมาร้องเพลงข้างๆ เมื่อฟังเพลงจึงโดนใจมาก หัวเราะทันทีเมื่อเห็นป๊อด โมเดิร์นด็อก มาขับกล่อมเพลง ”ก่อน” ในห้องนอนของพระเอก
มุกนี้ก็ใช้มาเป็นระยะๆ ก็ชอบตลอดนะ

พัฒนาการของเครื่องฟังเพลงก็แสดงเวลาได้ง่ายดี จากซาวเบ้าท์ มาเป็น Walkman แล้วก็ iPod หลายครั้งใช้เพลงสื่อแทนคำพูด

หนังใช้แนวเดินเรื่องไว ตัดฉึบฉับ แนวนี้ชอบเป็นการส่วนตัวครับ ผู้กำกับที่ชอบทำภาพแบบนี้คือ Guy Ritchie, Danny Boyle และ David Fincher

ชอบมุกซื้อเบียร์ขอหลอดด้วยที่สุดเลย ฮาสุดๆ นี่ถ้ามีมุกชนแก้วแล้วเจ็บนิ้วจะครบสูตรเลยครับ

ส่วนฉากหวานๆ ของเป็ดและเอิญก็กำลังดี ไม่เลี่ยน
ฉากเลือกเพื่อนก็แมนดี
ฉากร่ำลากันตอนจบก็เป็นธรรมชาติดี

ฉากง้อเพื่อนของเป็ดในตอนท้ายก็ได้ใจจนน้ำตาซึม
เพื่อน คำนี้มีความหมายมากเหลือเกิน

เพลงประกอบน่าจะเอามารวมเป็นอัลบั้มและขายได้นะครับ เพลงเพราะมาก

โดยส่วนตัวชอบหนังที่เอาความฝันมาใช้งาน ฉากไปดูเวทีประกวดรอบสุดท้าย ชอบมาก เหมือนเด็กญี่ปุ่นทุกคนอยากไปโคชิเอ็งยังไงอย่างงั้น

หนังดีเกินคาด ได้หัวเราะ อิ่มเอมกับเพลง และหอมกลิ่นความฝัน

ไม่มีฝัน ชีวิตก็ไร้ค่า

มีความสุขทุกคนครับ

วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

ขอบคุณที่รักกัน

ใครกันนะจะดูแลเราตลอดไป



กำกับ : พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว (ลองของ - 2005), พีระศักดิ์ ศักดิ์ศิริ (โหมโรง - 2004) และ สยมภู มุกดีพร้อม (สตรีเหล็ก 2 - 2003)
นำแสดง : ปั๊บ โปเตโต้, สายป่าน อภิญญา, สมชาย ศักดิกุล, ลลิตา ศศิประภา, ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, ไพบูลเกียรติ เขียวแก้ว, พ่อดม ชวนชื่น, ณภัทร บรรจงจิตไพศาล
ระดับความชอบ : 9.25/10

เป็นหนังที่พี่แอมป์ ลูกสาววัย 11 ปีขออนุญาตไปดูกับเพื่อน
มาหาข้อมูลคุณพ่อเลยขอไปดูด้วย
ก็สรรพคุณโดนใจเหลือเกินคือ ลูกดูแล้วจะรักพ่อมากขึ้น 
ไม่ดูไม่ได้แล้ว

ยอมรับว่าคาดหวังกับหนังไทยเรื่องนี้
ช่วงแรกเลยได้ข้อติเพียบ บทหนังตัดไปตัดมา ออกจะงงๆ โดยเฉพาะครอบครัวของนายทหาร 

แต่พอถึงจุด Peak ที่ตั้งใจเรียกน้ำตา หนังเรื่องนี้ทำได้ดีเหลือเกินครับ 
สองในสามเรื่องทำผมน้ำตาไหล
อีกเรื่องอิ่มใจจนยกมือไหว้ตามนางเอกไปเลยในตอนท้าย

พี่อะตอมวัย 7 ขวบที่ไปดูด้วย เธอสั่งในโรงภาพยนตร์ว่า "ร้องตอนไหนบอกด้วยนะพ่อ" 
คุณพ่ออมยิ้ม แต่เธอก็ร้องตอนคุณแม่ขวัญตบหน้าลูกชายนะ เธอบอก

ส่วนคุณพ่อปลื้มใจในความเป็นพ่อที่ไม่ว่าลูกจะโตขนาดไหน ก็ยังเป็นเด็กในสายตาพ่อแม่ และท่านพร้อมจะช่วยเหลือเราเสมอ ท่านเป็นพรหมของเราโดยสมบูรณ์ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีในพ่อแม่ของเราทุกคนครับ
ดังนั้นหากเรามีปัญหา คนที่เราพึ่งได้อยู่ที่บ้านเรานี่แหละครับ
คนเป็นพ่อและแม่ก็ทำตัวให้สมกับเป็นพรหมของลูกนะครับ พรหมวิหารสี่ยึดไว้ให้มั่นเลย
อากงในเรื่องนี้ทำให้ดูแล้วครับ


ฉาก "อั๊วะเจ๊งแล้ว" ทำได้ดีจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
อาตี๋คงลืมไปว่าคำนี้ครั้งหนึ่งก็เคยพูด แล้วก็พ่อคนนี้แหละครับที่ช่วยคลี่คลายปัญหาไปได้
คำคมมากมายครับในตอนนี้
"คนเราต้องใส่รองเท้าที่พอดี" คนโบราณทำรองเท้าที่เหมาะกับแต่ละคน เพื่อสุขภาพของเท้า คนเราเดินลงน้ำหนักไม่เหมือนกัน
"เอ็งยังตัดรองเท้าใส่เองไม่เป็นเลย จะไปตัดรองเท้าให้คนอื่นใส่ได้อย่างไร"
"วิ่งเร็วเกินไป โดยใส่รองเท้าไม่เหมาะ จึงล้มไม่เป็นท่า"
คำของอากงแต่ละคำ สุดยอดครับ
แล้วเรื่องเห่อหลานสาว ทำไมไม่เกิดเป็นผู้ชาย ตัวซวย เครือข่ายลูกค้าที่อากงเคยมีน้ำใจกับพวกเขาล้วนเป็นกัลยาณมิตรในยามยาก 
ประเด็นเหล่านี้ใส่มาอย่างลงตัว กลมกล่อมดี
ดูแล้วรักพ่อมากครับ


ส่วนคุณแม่ก็มาในตอนสองแม่ลูก
ฉากเรียกน้ำตาคือลูกพูดสดุดีความดีของพ่อบนเวที
นักรบไร้อาวุธ คือคำที่ลูกชายเรียกพ่อของเขา เพราะคุณพ่อเป็นหมอทหารที่ต้องอยู่ในสมรภูมิ และมีน้ำใจต่อชาวบ้านสม่ำเสมอ จนเป็นที่รักของชาวบ้าน
ตอนนี้ดูยาก พี่แอมป์ถามว่าคนที่ขาขาดคือคนที่คุณพ่อวิ่งเข้าไปช่วยไหม? เป็นไปได้นะ
แล้วพ่อที่ตายไปแล้วทำไมยังมีออกมาในบางฉาก? ก็น่าคิด เป็นไปได้ว่ายังอยู่ในความทรงจำ หรือเหตุการณ์ที่คุณพ่อออกมานั้นเกิดมานานแล้ว
ไม่ชอบช่วงแรกของตอนนี้ แต่ก็มาเอาตัวรอดช่วงท้าย และจบได้สวยงาม
และที่สำคัญ เสียน้ำตา


อีกเรื่องเป็นพี่ชายที่ต้องดูแลน้องสาวที่เป็นออทิสติก และพี่ชายเป็นทุกอย่างของเธอ ฉากในป่าแสดงได้ชัดมาก
แต่น้องก็สอนพี่ชายในการรับรู้เสียงของธรรมชาติที่แสนจะสวยงาม
ศาสตราจารย์ก็สอนลูกศิษย์ได้ดี
โดยส่วนตัวผมชอบคุณสมชายแสดงนะครับ ชอบมาตั้งแต่เรื่อง 15 ค่ำเดือน 11 และแกก็ยังเล่นได้คงเส้นคงวาดี
น้องสายป่านก็เล่นดี แต่พี่ชายออกจะแข็งไปนิด


ดารารุ่นใหญ่เล่นดีหมด ไม่ว่าจะเป็นกบ ทรงสิทธิ์, หมิว ลลิตา, ปั่น, พ่อดม ชวนชื่น ชอบแกมากเลย เล่่นดี


ดนตรีก็ไพเราะ ลงตัว ชอบฉากฟังเสียงเพลงธรรมชาติ ลม น้ำ ต้นไม้ ทะเล
วิวสวยๆ น่าจะส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ด้วยนะ


พี่อะตอมถามว่าทำไมต้องมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่ล่างจอด้วย บอกเธอไปว่าเอาไว้ฉายที่ต่างประเทศ ไม่รู้เป็นอย่างนั้นไหม?


ช่วงท้ายของทุกตอนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เรื่องที่ปูมาตอนต้นก็นำมาใช้อย่างลงตัว เรียนเย็บรองเท้า, เสื้อทหาร และที่นั่งในรถ ทำได้ดี


ตอนท้ายเรื่องน้องเป๋อยกมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ผมและลูกยกมือไหว้ตามเธอ
พระองค์เป็นพ่อของเราชาวไทยและดูแลพวกเรามาโดยตลอด


ความรักเป็นสิ่งที่ดีที่โลกนี้มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น รักของพ่อ รักของแม่ หรือรักของธรรมชาติ
"ขอบคุณที่รักกัน" คำนี้น่าจะพูดบ่อยๆ นะ
มีความสุขมากที่ได้ดูเรื่องนี้กับลูกๆ ครับ


หนังดีมาก อยากให้ไปดู
และอยากให้กลับมาพิจารณาว่า ใครกันนะจะดูแลเราตลอดไป และเราต้องดูแลใครแบบนี้บ้าง


มีความสุขทุกคนครับ


Link ที่เกี่ยวข้อง : JUNO ใครกันนะจะดูแลเราตลอดไป