วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

The Social Network

สุดท้ายชีวิตต้องการอะไร?



กำกับ : เดวิด ฟินเชอร์
นำแสดง : เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก, แอนดรูว์ การ์ฟีลด์, จัสติน ทิมเบอร์เลค
ความยาว : 120 นาที
ระดับความชอบ : 9.25/10

เปิด ตัวในอเมริกาด้วยอันดับหนึ่ง เนื้อเรื่องก็น่าสนใจ เพื่อนนักดูหนังบอกว่าผู้กำกับคนนี้เก่ง เคยกำกับเรื่อง Se7en หนัง Serial Killer ที่น่ากลัวมาก

เข้า Waiting List ทันทีเรื่องนี้

13/12/53 จัดงานเกี่ยวกับ Social Network ตอนเย็นเลยถือโอกาสไปดูหนังเสียเลย

หนังดีทีเดียว เข้าชิงลูกโลกทองคำด้วย สาขาภาพยนตร์ ดารานำชาย และ ผู้กำกับ ประเภท Drama ชนกับ Inception เลย
แต่เชียร์ Inception มากกว่านะ

หนังพูดเยอะและเร็วมาก แต่เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน

เพลงประกอบเพราะดี

ชอบที่ผู้กำกับที่เล่นกับความรู้สึกของพระเอกในฉากสุดท้าย
หลังจากปูพื้นเรื่องมาทั้งหมด
เริ่มจากแฟนที่เรียนมหาวิทยาลัยอื่นบอกเลิก
พระเอกก็เอาคืนด้วยการเขียน Blog ด่า แล้วก็ทำเรื่องมากมายเพื่อระบาย
แล้วฉากสุดท้ายจะมาขอเธอคนนั้นเป็น Friend ใน Facebook
พระเอกกด Refresh หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ
หนังตัดตรงนี้

ถามว่าถ้าเราเป็นนางเอกจะรับพระเอกเป็น Friend ไหม?

เห็นสีหน้าพระเอกที่ไม่มีใครเป็นเพื่อนในชีวิตจริงเลย
ดูไม่มีความสุขเลย
สุดท้ายชีวิตต้องการอะไรครับ?
เงิน หรือ เพื่อน
หากได้ทั้งสองอย่างคงดี
แต่ถ้าต้องเลือกเหมือนที่พระเอกเลือก ทั้งที่ตั้งใจเลือกหรือไม่ตั้งใจเลือกก็ตาม ผลก็เป็นแบบฉากสุดท้าย

เคยอ่านเจอว่า มีเพื่อนไม่ต้องเยอะ แต่ขอให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็พอ
เราต้องหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์เหล่านั้นให้ดี เพราะเขาเป็นเพื่อนเรา
ยิ่งเป็นกัลยาณมิตรที่จะนำเราไปสู่ทางสว่าง ทางนิพพาน ยิ่งต้องดูแลไว้

Facebook เป็นแค่เครื่องมือทำให้พบเพื่อนเก่าง่ายขึ้น แต่เพื่อนใหม่ที่ดีไม่น่าจะหาได้ในนี้ ผมเลยไม่ Accept คนไม่รู้จักครับ


ผม ว่าที่พระเอกเขียน Facebook ออกมาได้ตอบโจทย์การหาเพื่อน เพราะเขาไร้เพื่อนเลยต้องค้นหาวิธีการหาเพื่อนด้วยวิธีการต่างๆ แต่นำมาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้เพราะต้องใช้อะไรมากกว่านั้นในเรื่องมิตรภาพ

ผล ประโยชน์เป็นอีกเรื่องที่ทำให้มิตรภาพจบลงได้ง่าย ดังเช่นหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็น ดังนั้นเลี่ยงๆ เรื่องนี้บ้างก็ดี ถ้าไม่อยากเสียเพื่อน

เลือกให้ดีนะครับ เงิน หรือ เพื่อน

มีความสุขทุกคนครับ

วันเสาร์ที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก

จำได้ไหม? รักครั้งแรก




กำกับ : พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร และ วศิน ปกป้อง
นำแสดง :
มาริโอ้ เมาเร่อ รับบทเป็น โชน
พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ รับบทเป็น น้ำ
อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล รับบทเป็น ท็อป
กชามาศ พรหมสาขา ณ สกลนคร รับบทเป็น ปิ่น
สุดารัตน์ บุตรพรหม รับบทเป็น ครูอิน
พิจิตรา สิริเวชพันธ์ รับบทเป็น ครูอร
พีรวัชร์ เหราบัตย์ รับบทเป็น ครูพล
ระดับความชอบ : 8.25/10

ชื่อภาษาอังกฤษของหนังเรื่องนี้คือ First Love ซึ่งตรงกับเนื้อหาของหนังดี

จำได้ไหมครับ รักครั้งแรกของเราเกิดขึ้นเมื่อไหร่? อย่างไร?

รักแรกของผมน่ะรึ
ตอนนั้นอยู่ปอห้า เป็นเด็กต่างอำเภอที่ต้องถูกส่งไปเรียนในตัวเมือง ไปด้วยรถประจำ แล้วก็ได้พบเธอที่ไปรถประจำคันเดียวกัน ตกหลุมรักเธอไปเลย จากนั้นเมื่อจบปอหก แม้จะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเดียวกัน แต่ก็ไม่ค่อยเจอกันเพราะเดินทางไปเรียนกันเอง ไม่ใช้รถประจำแล้ว
จนเมื่อขึ้นมอปลายเลยแยกกันโดยสิ้นเชิง เพราะเรียนต่างโรงเรียนกันเลย
นั่นคือรักครั้งแรกของผม แต่เป็นรักข้างเดียว ได้แค่แอบมอง แอบฝันถึง

ในเรื่องนี้เป็นสาวมอหนึ่งชื่อน้ำ แอบชอบพี่โชนมอสี่
น้ำหน้าตาไม่ดี ดำ ใส่แว่น
พี่โชนหล่อ เล่นบอลเก่ง มีปมในใจเรื่องพ่อยิงลูกโทษไม่เข้า (วันนั้นโชนคลอดพอดี)
เรื่องราวดำเนินไปด้วยการเปลี่ยนตัวเองของน้ำโดยมีพี่โชนเป็นแรงบันดาลใจ
สุดท้ายก็สวยขึ้น ออกจะสวยผิดหูผิดตาไปหรือเปล่า ความแตกต่างเยอะไปหน่อย

แต่เรื่องเรียนเก่ง เพราะอยากเจอพ่อเลยต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง น่าชื่นชม

มุกใช้หนังสือ How to แล้วทำตามทีละข้อนี่ไม่ใหม่ เลยไม่ค่อยปลื้มมุกนี้เท่าไหร่
แต่ชอบตอนข้อสิบ จากประเทศไทย ดูมุ่งมั่นจริงใจดี

ชอบตอนท้ายของเรื่องที่เผยว่าพี่โชนก็แอบชอบน้ำเหมือนกัน และได้บันทึกเรื่องต่างๆ ผ่านรูปถ่ายและบันทึกความรู้สึกทั้งหมดไว้ สุดท้ายก็เอาไปให้น้ำรู้ ชอบครับฉากนี้

อีกฉากที่ชอบคือฉากที่น้ำง้อเพื่อนสนิท เพลงที่นำมาใช้ก็เป็นเพลงโปรดของเราเลย ชอบมากฉากนี้ แอบตารื้นกับเขาเหมือนกัน

ชอบบรรยากาศของเมืองที่เป็นฉากหลัง จังหวัดอะไรนะ เบอร์โทร.ขึ้นด้วย 032 เห็นเขาวังตอนเดินพาเหรด ใช่เพชรบุรีไหม?
แล้วโรงเรียน ด.ณ. นี่โรงเรียนอะไรครับ?

เคยชอบหนังแบบนี้มาตั้งแต่คุณบัณฑิต ฤทธิ์ถกล ทำไว้ แต่เนื้อหาจะแฝงแนวคิดดีๆ ไว้เสมอ แล้วก็ตลกกว่านี้
เลยทำให้ชอบเรื่อง First Love ไม่มากนัก
แต่เคยหัวเราะร่วนเมื่อได้ดูเรื่อง ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ตลกมาก ถูกใจมาก

อีกประเด็นที่ไม่ค่อยโดนคงเพราะเป็นประสบการณ์ของผู้หญิง ผู้ชายเลยไม่อิน แต่ถ้าเป็นผู้หญิงคงอินกว่านี้นะ

ตอนจบเรื่องทำไม่ดีเลย เจอกันง่ายไปหน่อย อ่านเจอเพื่อนใน Blog บอกว่าน่าจะบังเอิญเจอกัน นึกไปถึงเรื่อง Before Sunrise และ Before Sunset หากเอามุกแบบนั้นมาใช้ น่าจะดีนะ

โดยรวมก็น่าพอใจกับงานของ Work Point กับหนังวัยรุ่นย้อนรำลึกอดีต
แอบเห็นชื่อพี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ในตอนท้ายเรื่องด้วย
ทำอีกนะครับ จะตามเชียร์ครับ

ดูจบ MSN เจอน้องที่ทำงาน เธอบอกว่าอย่ากีดกันรักของลูกสาวนะ เป็นเรื่องธรรมชาติ ก็คงงั้นแหละนะ เธอบอกอีกว่าเป็นด้านดีของความรัก เอามาเป็นแรงบันดาลใจ
ลูกสาวคนกลางวัยหกขวบบอกว่าเพื่อนมาเล่าให้ฟังเรื่องนี้ แต่ดูแล้วคงไม่พาไปดูหรอก ไม่น่าจะเหมาะ

ลองทบทวนรักครั้งแรกของเราดูนะครับ อาจมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างก็ได้ เล่าให้ฟังกันบ้างก็ดี จะรอฟัง

มีความสุขทุกคนครับ

ปล.ขอแอบจับผิดหนังหน่อยนะครับ
- ทำไมเด็กอายุ 14 ปี ขับมอเตอร์ไซด์ได้เหรอ ยังไม่มีใบขับขี่เลย
- ทำไมเสื้อของเพื่อน 3 คนของน้ำในวันจบการศึกษาไม่มีรอยลายเซ็นต์เลยครับ คนอื่นเสื้อลายกันหมดเลย

วันอังคารที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓

Julie & Julia

หนังที่ Blogger ต้องดู



ผู้กำกับ : Nora Ephron (เขียนบทด้วยครับ)
นำแสดง : Meryl Streep, Amy Adams
ความยาว : ๑๒๓ นาที
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

หนังเรื่องนี้อ่านเจอจาก Blog ของ บ.ก.แป๊ด Grappa เห็นแผ่นในร้านเลยรีบคว้ามาดู

แค่เปิดเรื่องก็น่าสนใจแล้ว
Based on two true stories

ซึ่งเป็นเรื่องของ
Julie Powell และ Julia Child สองแม่ครัวต่างยุค
คนแรกเป็นคนยุคปัจจุบัน ทำ Blog ก่อนเราประมาณ ๔ ปี แต่เขามี Theme ที่ชัดเจน นั่นคือทำอาหารตามสูตรในตำราของ Julia Child ซึ่งเป็นสุภาพสตรีชาวอเมริกาที่ติดตามสามีไปอยู่ในฝรั่งเศส กิจกรรมหนึ่งที่เธอโปรดปรานคือทานอาหารฝรั่งเศสอย่างเอร็ดอร่อย เธอเลยอยากให้แม่บ้านชาวอเมริกันได้ทำทานบ้าง เลยไปเรียน และเขียนตำรา ในยุคของเธอไม่มี Blog จึงเขียนตำราแล้วส่งสำนักพิมพ์เพื่อพิจารณา
ส่วน Julie Powell ใช้เทคโนโลยีปัจจุบันคือ Blog เธอให้เวลาหนึ่งปีกับห้าร้อยกว่าสูตรที่จะต้องทำให้หมด ไม่ง่ายเลย จึงต้องการกำลังใจมาก ลองดูประโยคที่เธอมอบให้คนให้กำลังใจเธอครับ

"I could never have done this without you. As someone once said, you are the butter to my bread, the breath to my life. To my husband."

คมคาย ได้ใจ คนดูน้ำตาซึม

ตัวหนัง, ดารา, เพลงประกอบ ลงตัวไปหมดครับ
เหมาะแก่การนำมาชมเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้เข้าชิงลูกโลกทองคำในสาขา ภาพยนตร์เพลงหรือตลกยอดเยี่ยม และ Meryl Streep เข้าชิงในสาขา นักแสดงนำหญิงจากภาพยนตร์เพลงหรือตลกยอดเยี่ยม

จะว่าไปผู้กำกับคนนี้คงถนัดแนวนี้ Romantic Comedy เพราะเรื่องก่อนๆ ของเธอคือ Sleepless in Seattle และ You've got mail นี่ถ้าเอา Meg Ryan มาแสดงได้คงเอามาแสดงแล้ว แต่ยุคนี้ Sandra Bullock ก็ใช่ย่อยสำหรับแนวนี้

ทำไม Blogger ต้องดู ก็เพราะจะได้เห็นว่ามีคนคิดเหมือนเราเยอะ เชื่อว่า Blogger ทุกคนมีความฝัน อยากให้คนมาอ่าน มาแสดงความคิดเห็น เลยกลายเป็นหน้าที่ที่จะต้องเขียนให้คนที่ติดตามอ่าน Blog ของเราได้อ่านสม่ำเสมอ

จริงๆ แล้ว Blog ต้องมี Theme ที่ชัดเจน ถึงจะดังและติดตลาด หนังเรื่องนี้บอกไว้

หากดึงคนในครอบครัวมามีส่วนร่วมกับการเขียน Blog ได้จะดีมาก เหมือนในหนังเรื่องนี้

ให้ใส่ความรู้สึกนึกคิดอย่างเต็มที่ และซื่อสัตย์ ใน Blog เหมือนตอนที่ Julie ทะเลาะกับสามี เธอก็เขียนความรู้สึกของเธอลง Blog สามีมาอ่านก็จะได้รู้ถึงความรู้สึกแท้จริง

อีกอย่างอย่าหวังว่าจะดังในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา ดูเราสิเขียนมาตั้งหลายปี ไม่ดังเสียที ต้องฝึกต่อไป

แม้จะไม่ดังแต่ผมก็ชอบเขียน Blog เพราะได้บันทึกเรื่องราวที่เข้ามา ได้จดความรู้สึกเวลาดูหนัง อ่านหนังสือ เลี้ยงลูก หรือไปเที่ยวไหนๆ เวลากลับมาอ่านแล้วมีความสุขทุกที หรือเวลาจะแบ่งปันให้คนอื่นก็เป็นไปโดยง่าย
Julia Child คงคิดแบบนี้เหมือนกัน แค่เธอไม่มี Blog จะใช้ในยุคนั้น

การได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ไว้ในโลกไซเบอร์ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมยังเขียน Blog
การได้พบคนคอเดียวกัน แนะนำต่อยอดสม่ำเสมอ ทำให้ผมชอบ Blog
การได้รับมิตรภาพ แบ่งปันของ ลดโลกร้อน ชวนกันทำความดี ทำให้ผมยิ่งรัก Blog

ส่งหนังเรื่องนี้ต่อไปให้ ดร.วรภัทร์ ก็แกเป็น Blogger ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง

Blogger ท่านอื่นล่ะครับ ทำไมเขียน Blog? บอกกันบ้างนะครับ

มีความสุขทุกคนครับ