วันพุธที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

Trip ปิดเทอม มี.ค. ๕๑ เที่ยวอยุธยา-สุพรรณบุรี-สระบุรี

ปิดเทอมที่แล้ว ท่องเมืองเหนือ ลองคลิ๊กอ่านดูนะครับ

เริ่มแล้วครับ หลังจากลงแผนไว้ใน Blog ที่แล้ว เพื่อนๆ เข้ามาแจมจำนวนหนึ่ง ลองคลิ๊กอ่านดูครับ

ปิดเทอมนี้ มีเวลาสั้นๆ เลยเที่ยวแถวภาคกลาง

วันที่ ๒๖ มี.ค. ๕๑ พี่แอมป์ น้องอะตอม แม่ และ ยาย ขึ้นรถทัวร์ตอนเช้า แม่โทรมาบอกว่าพี่แอมป์ประกาศผลสอบ ป.๒ ได้ที่ ๕ (ปีที่แล้วที่ ๓)
พ่อไปรับที่สายใต้ตอนเย็น ใช้เส้นทางวงแหวนตะวันตก เลี้ยวไปทางพระปิ่นเกล้า จากนั้นไม่ต้องขึ้นสะพานลอยที่จะไปพระปิ่นเกล้า ชิดซ้าย ซักพักเลี้ยวซ้าย ไปกลับรถ แล้วขึ้นสะพาน กลับรถอีกที จากนั้นไปตามทาง มีที่จอดในอาคาร สะดวกสบาย ไม่เก็บค่าที่จอดด้วย
เจอกันแล้วไปซื้อตั๋วรถทัวร์ขากลับ ได้ทวงเงินเจ้าหน้าที่ที่ติดกันไว้นานโข
ทานข้าวร้านข้าวขาหมูที่สายใต้
ซื้อเค้ก และกาแฟ ที่ S&P วันนี้วันพุธ ลด ๒๐%
ทุ่มนึงออกจากสายใต้ มานอนที่สระบุรี

วันที่ ๒๗ มี.ค. ๕๑ เริ่มเช้านี้ไม่ดีนัก น้องอะตอมนอนข้างบน ร้องหาแม่ตอนเช้า คุณแม่รีบขึ้นไปอุ้ม ตอนเดินลงเนื่องจากบันไดบ้านพักของพ่อชัน เลยลื่นตกบันได เอาก้นลง คุณแม่เจ็บก้น น้องอะตอมหัวโน คุณพ่อจิตเกิด เลยส่งคำขอให้เจ้าหน้าที่มาแก้ไข ลดจำนวนขั่นบันไดลง เพื่อให้ไม่ชัน และขั้นยาวขึ้น ก่อนหน้านี้เจ้านายพ่อมาเยี่ยมบ้าน ก็ลื่นตกก้นจ้ำเบ้าเหมือนกัน
สงสารแม่และน้องอะตอมจัง

วันนี้แผนเดิมจะเดินทางไปจังหวัดสุพรรณบุรี เที่ยวตลาดร้อยปีสามชุก
เนื่องจากเป็นวันพฤหัสฯ กลัวว่าจะมีของขายน้อย เลยเพิ่มอยุธยาเข้าไปด้วย

เริ่มด้วยออกเดินทางจากสระบุรีประมาณ ๘.๓๐ น. ไปอยุธยา ก่อนมาสอบถามพี่ที่ทำงานที่เคยจัดทัวร์ไหว้พระเก้าวัดที่อยุธยา และติดต่อพี่ที่มีญาติเป็นเจ้าของร้านไทรทองริเวอร์ ร้านอาหารข้างแม่น้ำเจ้าพระยา เลยได้บัตรลดมาด้วย

โปรแกรมเริ่มจากแวะวัดใหญ่ชัยมงคล เพราะถึงก่อนเข้าเมือง ถามพี่ที่ทำงาน เขาบอกว่ามี ๓ ที่ในวัดนี้ที่ให้นมัสการ คือ
๑. พระนอน


๒. พระอุโบสถหน้าเจดีย์

พระพุทธรูปหน้าพระอุโบสถ


ลูกทัวร์ปิดทองพระ


ภายในพระอุโบสถ


ชอบภาพวาดขนาดใหญ่รูปนี้ในพระอุโบสถครับ


อาจขึ้นไปบนเจดีย์ได้นะครับ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขึ้น


๓. พระตำหนักพระนเรศวรมหาราช

ทางเดินไปมีที่ให้อาหารปลาด้วย


มีเต่ามาทานด้วยนะ


นมัสการพระนเรศวรมหาราช
ภาพนี้ฝีมือน้องอะตอมถ่าย


ที่ขาดไม่ได้บริเวณพระตำหนัก คือ ไก่ชนครับ


จากนั้นไปหมู่บ้านญี่ปุ่น ที่แค่ขับผ่าน ไม่ได้ลงไปดู
เดินทางต่อไปศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยว ได้ข้อมูลมาเพียบ

แค่ ดูช้าง ก็หมดเวลา น้องอะตอมกลัว เลยไม่ได้นั่งช้าง

ไปทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารไทรทองริเวอร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้ลด ๑๐% จากบัตรลดของพี่ที่ทำงาน

มีของเล่นให้เด็กๆ เล่นด้วยร้านนี้



บ่ายโมงกว่าๆ ไปสุพรรณบุรี ทางอำเภอเสนา
ขับไปถึงตลาดสามชุก เวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง
จอดรถในที่จอด เสียสิบบาท ที่จริงจอดหน้าอำเภอก็ไม่เสียแล้ว พรุ่งนี้เอาใหม่




อากาศร้อน และเหนื่อยจากการเดินทาง สะดุดร้านแรกคือร้านของเล่นโบราณ เล่นกับลูกๆ เสียนาน


จากนั้นแยกย้ายกันเดิน ผมกับพี่แอมป์เข้าพิพิธภัณฑ์ตลาดสามชุก ประทับใจมัคคุเทศน์น้อย ได้เห็นของโบราณเพียบ เช่น ตู้เย็นโบราณ, กระเบื้องจากกรุงโรม อิตาลี, สวิทช์ไฟโบราณ อื่นๆ อีกมาก

พี่แอมป์ฟังสองรอบเลย

จะไปบ้านโค้ก เห็นเก็บตังค์ห้าบาท ชะงัก สุดท้ายไม่เข้า

ทานบะหมี่ สุดอร่อย ที่ร้านเจ๊กอ้าว เขาใส่บะหมี่ในลิ้นชัก พี่แอมป์ชอบทานหมดชามเลย

อ้อ วันพฤหัสฯ ร้านเปิดเกือบครบ คนไม่พลุกพล่านดีด้วย

ร้านข้าวห่อใบบัว ไม่ขายวันพฤหัสฯ
ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้

บ่ายสามครึ่ง เดินทางไปหมู่บ้านควาย อำเภอศรีประจันต์
มีคนพักแค่เราครอบครัวเดียว เลยไปนอนในเมืองดีกว่า
เลือกโรงแรมสองพันบุรี คุณแม่ติดต่ออีท่าไหน ๖๐๐ บาท/คืน ไม่รวมอาหารเช้า ถูกดี

กลางคืนหลับสบาย

วันที่ ๒๘ มี.ค. ๕๑ เช้าไปทานต้มเลือดหมูข้างทาง อร่อยดี
ไปที่หอคอยบรรหาร-แจ่มใส ตอนเก้าโมงครึ่ง ยังไม่เปิด เปิดสิบนาฬิกา
เลยไปวัดป่าเลไลย์วรวิหารก่อน
คนเยอะเชียว



เด็กๆ เขียนชื่อบนกระเบื้อง


หลวงพ่อโต พระปางป่าเลไลย์ น่าจะมีที่เดียวนะปางนี้


จากนั้นมาขึ้นหอคอย แต่ละชั้นมีกิจกรรมดังนี้


ขึ้นไปชั้น ๔ ชมทิวทัศน์ มีกล้องให้ส่อง หยอดเหรียญ ๑๐ บาท




เดินทางไป หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย (www.buffalovillages.com) ปกติในวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีแสดงควายตอน ๑๑ นาฬิกา วันนี้คนน้อยเลยไม่แสดง

เดินชมบ้านชาวนา ชมควาย



มีบ้านทรงไทยอยู่ไกลๆ สวยมาก


นั่งบนหลังควายชื่อเจ้ากระต่ายน้อย มีการพาเดินด้วย กระดูกมันเคลื่อนเสียวตก


น้องอะตอมไม่กล้าเลยนั่งเกวียน


สุดท้ายก็มาถ่ายรูปด้วย


เดินไปชมการทำน้ำตาลจากอ้อย


แล้วเดินไปบ้านทรงไทย ผ่านสวนสมุนไพร

ขึ้นบนบ้านกันเลย เย็นดีจังลมพัดตลอดเลย


ใต้ถุนหลับสบายอย่าบอกใคร


คุณยายได้สอนหลานผ่านที่โม่ข้าว ให้ได้แป้ง


จากนั้นเดินซื้อไอศครีม, ผลไม้ แล้วเดินทางไปทานข้าวเที่ยงที่ตลาดสามชุก (อีกแล้วครับท่าน)



ครั้งนี้จอดที่หน้าอำเภอ ไม่เสียสตังค์

ซื้อรองเท้าแตะให้พี่แอมป์ เพราะรองเท้าเดิมมันกัด

ทานข้าวห่อใบบัว

ทานบะหมี่ลิ้นชัก วันนี้ใส่เกี๊ยวด้วย อร่อยสุดๆ

เดินไปที่แม่น้ำท่าจีน มีทางเดินเลียบแม่น้ำด้วย

เดินผ่านพิพิธภัณฑ์ แต่ไม่แวะ

เห็นเขาเสวนาในลานโพธิ์ ประมาณว่ามีคนมาดูงาน

สุดท้ายไม่เข้าร้านบ้านโค้ก

ก่อนกลับซื้อกาแฟสด (ร้านเยื้องพิพิธภัณฑ์) ราคาถูกดีจัง คาปูชิโน่ สามสิบบาทเอง รสชาติก็โอ

โดยส่วนตัว ประทับใจตลาดร้อยปีสามชุกมาก ของกินเพียบ ของโบราณเยอะ พ่อค้าแม่ขายใจดี
แต่ก็อดกลัวพวกฟืนไฟ เพราะบ้านเป็นไม้ และติดกันมากเลย ต้องมีระบบดับไฟดีๆ เผื่อมีเกิดเหตุ

แอบเห็นป้ายต้านโลตัส แต่ก็ไม่สำเร็จ ขับออกมาเห็นโลตัสหราเลย

อย่าลืมพาลูกหลานมาเที่ยวนะครับ

บ่ายๆ เดินทางมาธุระเรื่องคุณยายในกรุงเทพฯ แล้วกลับมานอนสระบุรี

วันที่ ๒๙ มี.ค. ๕๑ เที่ยวฟาร์มโชคชัย ๐๙.๐๐ น. เสร็จประมาณเที่ยง เดินทางไปหาหมอที่รัตนิน ๑๔.๓๐ น. ปรากฎว่าพี่แอมป์สายตาสั้น ๑๒๕ ส่วนน้องอะตอมปกติ
ตรวจกับคุณหมอปกป้อง เครื่องมือการตรวจสายตาเด็กที่โรงพยาบาลรัตนิน สุดยอด น่าสนุกมาเลย
คุณหมอบอกว่า ไม่ต้องสวมแว่นตลอดก็ได้ และหากคุณพ่อคุณแม่สายตาสั้น ลูกมีโอกาสสายตาสั้น ๖๐%
ตรวจเสร็จเดินทางไปรับน้าเก๋แถวมีนบุรี แล้วไปนอนบ้านน้าแป้น แถวตลาดไทย รังสิต ใช้เส้นมอเตอร์เวย์ลงที่คลองหลวง

วันที่ ๓๐ มี.ค. ๕๑ หาหมอที่สมิติเวช ศรีนครินทร์ ๐๘.๐๐ น. แอบเห็นหมีเลยถ่ายภาพเสียหน่อย



ตรวจน้องอะตอม โดยรวมปกติ มีขาข้างขวาที่กระโดดขาเดียวแล้วยังไม่กล้ากระโดดต่อ
คุณหมอบอกว่าว่ายน้ำ ช่วยได้ เต้นบัลเล่อาจไม่ช่วยเท่าไหร่
ตรวจน้องอะตอมเสร็จ ไปเซ็นทรัลลาดพร้าว หากรอบแว่นให้พี่แอมป์ แต่ไม่ถูกใจ
สุดท้ายนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานีเพชรบุรี แล้วเดินไปตัดแว่นที่โรงพยาบาลรัตนิน
ได้แว่น พี่แอมป์ใส่แว่นแล้ว หน้าตาแบบนี้ครับ



นั่งแท็กซี่ไปงานสับดาห์หนังสือ คนเยอะมาก เลยกลับดีกว่า
แต่เห็นมีกิจกรรมการแลกหนังสือกันอ่าน จด Web มา ลองไปดูต่อที่ www.bookbarterclub.blogspot.com
เดินทางมาทานข้าวกันสองครอบครัวที่ MK สุกี้ เซ็นทรัลลาดพร้าว
จากนั้นห้าโมงเย็นแยกย้าย
ไปส่งครอบครัวขึ้นรถทัวร์ รถออกตอน ๑๙.๓๐ น.

วันที่ ๓๑ มี.ค. ๕๑ ถึงสุราษฏร์ เรียบร้อย เดินทางโดยปลอดภัย คุณแม่ไปทำงานต่อ

ปิดเทอม อย่าลืมพาลูกเที่ยวกันนะครับ ได้อะไรมากกว่าที่คิด
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแผน ที่มีตลอดเวลา เล่นเอาคุณพ่อจิตเกิดหลายครั้งเชียว

๑๐ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมจาก อสท.

ปกติไม่ได้ซื้อ อสท. ทุกเล่ม แต่จะซื้อเล่มที่รวมเรื่องแบบนี้
เล่มเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ รวมแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมจากผู้อ่าน ๑๐ แห่ง เลยจดมาเก็บไว้ ดังนี้

๑. ภูกระดึง ไปมาแล้วกับที่บริษัท สมราคาที่ท่องเที่ยวยอดนิยมจริงๆ เหนื่อย สวย ประทับใจ ครับ
๒. ดอยอินทนนท์ ที่นี่เคยไปนานแล้ว
๓. ดอยตุง ไปหลายครั้ง สวยทุกครั้งเลย ครั้งหลังสุดนอนบนดอยตุงเลย ที่พักชื่อ บ้านต้นน้ำ ๓๑
๔. น้ำตกทีลอซู ไปมาแล้ว ลืมน้ำตกอื่นๆ ไปหมดเลยครับ ถนนคดเคี้ยวทำให้เบรคเฟด เพราะเบรคร้อน จนเบรคไม่อยู่ แต่เพื่อนคนขับดันไม่บอก แต่ประคองรถจนถึงที่หมายได้
นั่งรถสองแถวโยกสุดๆ แต่ท้ายกระบะนั่งดื่มและเล่นไพ่ได้เฉยเลย จัดว่าสนุกมากทริปนี้ แม้กลับมาจะต้องเปลี่ยนจานเบรคก็ตาม
๕. ดอยอ่างขาง
๖. เกาะพีพี
๗. ภูชี้ฟ้า
๘. เขาใหญ่ ขึ้นหลายครั้ง ประทับใจทุกครั้งเลย เห็นนกเงือกก็บนเขาใหญ่นี่แหละ
๙. เกาะช้าง เคยไปร่วมสิบปีแล้ว ก็โอนะ
๑๐. ปาย ที่นี่ไม่เคยไป และอยากไปมาก

The Doctor ไม่เจอกับตัว คงไม่รู้



ผู้กำกับ : Randa Haines
นำแสดง : William Hurt, Christine Lahti, Elizabeth Perkins
เขียนบทภาพยนตร์ : Robert Caswell
แนวหนัง : Drama
ความยาว : ๑๒๓ นาที
หนังปี : ๑๙๙๑
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

บนปกบอกว่ามาจากหนังสือ "A taste of my own medicine" ของ Ed Rosenbaum
ผมว่าชื่อหนังสือไม่ตรงเสียทีเดียว เพราะหมอคนนี้เป็นโรคคนละโรคกับที่ตัวเองดูแลครับ

เรื่องนี้ซื้อมาเพราะชื่อเรื่อง เนื้อเรื่องบนปกหลัง, Two thumb up บนปกหน้า และคำพูดนี้ครับ
"He is a doctor that think he know everything until he become a patient"
ซื้อแล้วมาเปิดคะแนนใน IMDb คะแนนไม่ดี ใจแป้วเลยเรา

ช่วงสงกรานต์มีเวลา เลยตัดใจเอามาดู ยังเชื่ิอลึกๆ ว่าถูกจริตแหละน่า
คงพอเดาเนื้อเรื่องได้นะครับ คุณหมอคนเก่งมาเป็นคนป่วยเสียเอง การเรียนรู้จึงเริ่มขึ้น
ดูจบ ไม่เสียแรงที่เลือกมา สงสัยต้องไปเข็นคะแนนใน IMDb หน่อย
เรื่อง BORAT ให้คะแนนไปตั้ง ๙ เรื่องนี้มีคุณค่ากว่ามากทีเดียว เลยต้องให้คะแนนตามนี้

ควรดูอย่างยิ่งครับหนังเรื่องนี้ อย่างน้อยเผื่อจะได้มีหัวใจที่มีคุณภาพดีกันบ้าง คำนี้มีในหนังตอนท้าย ตอนคนไข้คุณหมอจะเปลี่ยนหัวใจ ภรรยาคนไข้ถามว่า พอจะรู้ข้อมูลคนให้บริจาคหัวใจไหม จะได้รู้ว่าได้หัวใจคุณภาพดีหรือเปล่า คุณหมอยิ้ม คงสะท้อน หัวใจคุณภาพดีหรือไม่ดี คงต้องอยู่ที่เจ้าของแหละครับ
อย่างคุณหมอ หากไม่ประสพกับการต้องเป็นคนป่วย คงไม่รู้จิตใจคนที่ป่วย การพูดเล่นของหมออาจช่วยทำให้บรรยากาศดี แต่หลายครั้งคนไข้ไม่ต้องการ ต้องการความจริงที่มาปลอบใจ เตรียมใจมากกว่า

หลายฉากเป็นสูตรสำเร็จแต่ก็ชอบ เช่น พยาบาลผู้ไม่เคยร้องเพลง ก็ร้องเพลงให้คุณหมอตอนที่จะถูกผ่าตัดเสียเอง

นึกถึงบรรยากาศตอนตัวเองโดนเข็นไปผ่าตัดขนาดกลางเหมือนกัน ร่างกายนี้ยกให้หมอไปเลย
คำนี้มีในหนังด้วยนะครับ คนป่วยเขาไว้ใจหมอ จึงมามอบร่างกายให้นะ คนเป็นหมอคงเข้าใจดี แต่บางครั้งคงลืมไปบ้าง โอกาสทำดีอยู่ในมือท่านแล้ว คุณหมอทั้งหลายครับ

ผมว่าคุณหมอน่าจะดูหนังเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะสะท้อนใจกันบ้างไหม แต่ถ้าให้แน่คือป่วยเองกับตัวนี่แหละ เป็นจุดเปลี่ยนแน่นอน
หากยังไม่ป่วย ควรหมั่นเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดถึงคนอื่นมากๆ
ตั้งใจทำให้หัวใจเรามีคุณภาพดีไว้ครับ
จะได้ไม่เสียแรงที่เกิดเป็นคน
เกิดเป็นคนนี่เกิดยากมากนะครับ
มีความสุขกับหัวใจคุณภาพดีทุกคน
สวัสดีปีใหม่ไทยครับ

วันอังคารที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

BORAT กัด'กันเต็มๆ



ผู้กำกับ : Larry Charles
นำแสดง : Sacha Baron Cohen (ร่วมเขียนบทด้วย)
หนังปี : ๒๐๐๖
ระดับความชอบ : ๙/๑๐

หนังเรื่องนี้ซื้อมาเพราะรางวัลพะอยู่เต็มปกเลย ไม่มีรายละเอียดใดๆ ตอนซื้อ
บนปกบอกไว้ว่าเป็นหนังตลก
ได้ฤกษ์ดูเสียที ตลกร้ายมากๆ เลยครับ
ประเทศคาซัคสถานแบนหนังเรื่องนี้เรียบร้อย ก็เล่นเอาประเทศเขามาปู้ยี้ปู้ยำขนาดนี้ ขนาดเพลงชาติยังเอาร้องทำนองเพลงชาติสหรัฐฯ ว่าแต่เพลงชาติคาซัคสถานเนื้อหาแบบนั้นหรือเปล่าหว่า ยิ่งใหญ่ดีจัง

จริงๆ ไม่ได้กัดเฉพาะคาซัคสถานหรอกครับ สังคมอเมริกัน ก็โดนตลอดทาง
ถือเป็นหนัง Roadster อีกเรื่อง การเดินทางมักเจอเรื่องราวใหม่ๆ เสมอ
ครั้งนี้พระเอกตามหาดาราที่ตนคลั่งไคล้ แต่ก่อนไปหา ภรรยาเขาตายแล้ว จึงเริ่มตามหารักใหม่ นี่เป็นข้อเด่นของหนุ่มคาซัคสถาน

ความแตกต่างมากมายของวัฒนธรรมแสดงให้เห็นตลอดเรื่อง พระเอกไล่ทักเค้าไปทั่วตามประเพณีที่ตนมี แต่ไม่ได้รับการตอบรับเลย ยกเว้นพวกเกย์
ฉากเลือกรถก็ดี กัดกันเต็มๆ
หลอกกัดจอร์จ บุช หลายฉากเชียว
กลุ่มสิทธิสตรีก็โดนเหน็บเข้าไปด้วย
ว่าไปแล้วตีแผ่สังคมอเมริกันได้ถึงใจดี รางวัลเลยเพียบ

เวลาดูจะไม่ถึงกับก๊าก แต่ตลกแบบร้ายลึก แต่โดยรวมก็มีความสุขดีเมื่อดูจบ
จะไม่ชอบบางส่วนที่มีเรื่องเพศ การเปลือย พวกนั้น จะไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่

ช่วงว่างๆ อยากหาหนังที่กัดสังคมอเมริกาแบบเต็มคำ เรื่องนี้เป็นคำตอบครับ
สำหรับผม ชอบครับ ฮาดี

The Queen ยิ่งสูงยิ่งหนาว



ผู้กำกับ : Stephen Frears
นำแสดง : Helen Mirren
เขียนบทภาพยนต์ : Peter Morgan
หนังปี : ๒๐๐๖
ระดับความชอบ : ๘/๑๐

บนเวทีออสการ์และลูกโลกทองคำปี ๒๕๕๐ มีดาราแสดงนำฝ่ายหญิงที่เต็งจ๋า เพราะบทของเธอคือ ควีนอลิซาเบธที่ ๒ สุดท้ายเธอก็คว้ารางวัลนี้มาครองได้สำเร็จ

กว่าจะได้ดูการแสดงของเธอก็ล่วงเลยมาร่วมปี ช่วงนี้มีเวลาเลยเอาดูเสียหน่อย
ชอบจังเลยหนังแนวนี้ ที่เขาเรียก ดรามา
ใช้ความคิดดี แถมคนทำเขาไม่ตัดสินอีกว่าใครถูก ใครผิด คิดกันเอาเอง
ขนาดท่านนายกฯ โทนี่ แบล ก็ยังมีการเปลี่ยนแนวคิดในตอนท้าย

ในความคิดเห็นผม การตัดสินใจทำอะไรที่ฝืนทั้งใจตนเอง และประเพณี บางครั้งต้องอยู่บนเหตุผล และปัจจุบันขณะ ใช้สติให้มากๆ หมั่นคิด ไตร่ตรองให้มาก หาข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วจึงตัดสินใจกระทำ ดั่งเช่นราชินีตัดสินใจในกรณีนี้
ตอนดูหนังไป ก็ดูปกไป สื่อดีจัง
มีคำพูดหนึ่งในหนัง "ตอนอยู่ก็สร้างความลำบาก ตอนตายสร้างความลำบากกว่า" น่าจะสื่อความรู้สึกของราชินีได้ดี

การแคร์ความรู้สึกของหลาน ก็เป็นสิ่งหนึ่งราชินีเลือกทำ แม้สุดท้ายต้องทำตามกระแส แบบที่ต้องฝืนใจตนเอง
แต่เพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
พวกที่ดื้อ ยอมหักไม่ยอมงอ ต้องมาดูเรื่องนี้ เผื่อคิดอะไรได้

ดาราเล่นดีทุกคนเลยครับ
บางฉากไร้คำพูดแต่สื่อได้ใจ
ชอบฉากราชินีอ่านคำไว้อาลัยหน้าวัง สะเทือนใจดี แต่กลับหันมายิ้มกับประชาชนของพระองค์ได้ แถมเด็กน้อยมอบดอกไม้อีกต่างหาก ชอบครับฉากนี้ บอกอะไรๆ ได้ดี
คนที่เล่นบทนายกฯ ก็ดี เล่นเก่ง

จบดีครับ เมื่อผ่านสิ่งเลวร้าย ก็ก้าวสู้เรื่องต่างๆ กันต่อไป
คนเราเมื่ออยู่ที่สูงสุด ทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังกันหลายตลบเชียวครับ แค่จะเอาเครื่องบินไปรับศพ ยังต้องคิดหนัก
ชีวิตแบบเราๆ สบายดีแล้ว ไม่เครียดจนเกินไป
มีความสุขกับชีวิตนะครับ

ปล.๑ ช่วงนี้ได้ดู The Last King of Scotland ด้วย แต่แอบหลับกลางเรื่อง แต่ก็ไร้ข้อกังขา ทำไม Forest Whitaker จึงได้รางวัลดารานำฝ่ายชายทุกเวทีประกวด ก็เล่นเกิดมาเป็น Idi Amin เสียขนาดนั้น
เรื่องนี้ถ้าให้คะแนนก็คง ๘/๑๐ เหมือนกันครับ ได้ทราบประวัติประเทศ Ugandar ช่วงปี ๑๙๗๑ ได้ดี ทีมงานทำการบ้านดีครับ น่าดูอีกเรื่องหนึ่งครับ ดู ๒ เรื่องคู่กัน เก่งชาย เก่งหญิงเลย

ปล.๒ ปีนี้อยากดู JUNO จัง เขาว่าหนังเล็กๆ แบบ Little Miss Sunshine ที่เราโปรดปราน อยากดูง่ะ

โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า ดูสองรอบถึงกลั้นใจเขียนถึงได้



ผู้กำกับ : ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ (ยอร์ช)
บทภาพยนตร์ : พิง ลำพระเพลิง
นำแสดง : กวี ตันจรารักษ์, วิสา สารสาส, สมพงษ์ คุนาประถม (อี๊ด) และ ทีม โปงลางสะออน
ความยาว: ๑๐๕ นาที
ระดับความชอบ : ๗/๑๐

หนังเรื่องนี้เช่ามาดูเพราะชอบหนังเรื่อง แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า ที่เคยดู พอรู้ว่าผู้กำกับคนนี้ออกเรื่องใหม่มา ก็รอที่จะดู ในโรงภาพยนต์นั้นไม่ได้ไปดู พอเป็นแผ่นเลยรีบคว้ามา

คาดหวังครับเรื่องนี้ ก็มันประทับใจมากจากเรื่องที่แล้ว หนังอะไรดูเอาตลกก็ได้ มีแง่คิดอีกต่างหาก
พอมาเรื่องนี้ แง่คิดก็มีแหละ แต่ทำไมหนังมันตัดไปตัดมา ดูแล้วไม่ค่อยลื่นเลย รอบแรกที่ดูรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง

จนได้ดูรอบสองบนรถทัวร์ ครั้งนี้ดูละเอียดเลย ผู้กำกับก็เก็บรายละเอียดดีนะครับ หลายฉากก็บอกสถานะของพระเอกแล้ว แต่รอบแรกจะดูไม่ออก
ข้อคิดที่มุ่งเน้น ก็มาตั้งแต่เพลงประกอบที่เปิดตั้งแต่ต้นเรื่องเลยครับ
"อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ท่องกันจนโต ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ฟังแล้วสนุกดีครับเพลงนี้
จะว่าไปแล้วแนวคิดที่สื่อจะคล้ายกับเรื่อง แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า ที่บอกเราว่าเราเก่งเรื่องอะไร ก็หมั่นเจียรไนสิ่งนั้นให้งดงาม ฉายแสง ที่แน่ๆ หาให้เจอก่อนนะครับว่าเราเก่งอะไร
เรื่องนี้ทีมของตัวเอกเก่งร้องรำทำเพลง ก็เลยงัดของเก่งมาใช้งานเสียเลย

ดูจบรอบสอง ก็พอไหว เขียนถึงเสียหน่อย ตอนแรกกะจะไม่เขียนถึงแล้วนะเนี่ย ยอมรับว่าผิดหวังในการชมครั้งแรก
ถ้าจะให้ลำดับการชม ต้องดูเรื่องนี้ก่อน แล้วค่อยไปดู แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า เรื่องนั้นของเขาดีจริงๆ ครับ
ตามเชียร์กันต่อไปครับ สำหรับหนังไทย

ความสุขของกะทิ ตอนตามหาพระจันทร์ ภาคต่อที่เติมเต็มได้ลงตัว (LIF#20)



ผู้เขียน : งามพรรณ เวชชาชีวะ
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
จำนวนหน้า : ๒๐๒ หน้า
ราคา : ๑๔๙ บาท
ระดับความชอบ : ๘.๕/๑๐

อ่านต่อกันเลยครับสองเล่มนี้
เล่มแรกได้ซีไรต์แบบมากมายข้อกังขา
เล่มนี้หนากว่า แต่บรรยากาศใกล้เคียงเดิม การวางโครงเรื่องก็แบ่งเป็นสามส่วน บ้านริมคลอง, บ้านกลางเมือง แล้วจบที่ บ้านริมคลอง

ตัวละครเพิ่มเข้ามา ซึ่งแต่ละตัวสำคัญต่อเนื้อเรื่องมากทีเดียว เล่มนี้เข้าใกล้แนวครอบครัวที่เราชอบทีเดียว จบแบบ Happy Ending แบบทุกชีวิตมีทางออก นักเขียนในใจแนวนี้ต้อง โบตั๋น ครับ นักเขียนท่านนี้ให้สิ่งดีๆ กับโลกเสมอ นิยายของท่านทำละครได้ทุกเรื่อง มีข้อคิดให้ดำเนินชีวิตมากมาย แอบดูละครช่วงนี้ ทำไมไม่ค่อยประเทืองปัญญาเลย หากเลือกได้ขอละครดีๆ จรรโลงสังคมหน่อยก็ดีนะครับ
แอบดูละครต่างชาติที่เอามาฉาย เช่นของเกาหลี ของเค้ามีแนวคิดดีๆ

เขียนเสียยืดยาว แค่จะบอกว่า สองเล่มนี้ทำละครหรือหนังได้สบายครับ
แว่วๆ ว่ามีคนจะทำหนังอยู่นะสองเล่มนี้ ก็ติดตามกันต่อไปครับ

หลายครั้งที่ไม่อ่านหนังสือตามกระแส แต่พอเอามาอ่านก็ประทับใจทุกทีสินะ หรือต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านบ้างแล้ว
สรุปว่าเล่มนี้เป็นเล่มต่อที่ลงตัว เนื้อเรื่องคลี่คลาย มีทางออก น่าอ่านครับ ต้องอ่านเล่มแรกก่อนนะครับ แล้วต่อด้วยเล่มนี้

อีกเรื่องที่อยากถามคือ อะไรคือดวงจันทร์ ที่ตามหากันครับ
ตอบตัวเองตอนนี้คือสิ่งที่ยังค้างคา ไม่ได้ทำ เช่นเรื่องนี้คือการบอกลุงวสันต์ของแม่ จนกะทิต้องมาตามหาจนเจอ
คิดกลับมาตัวเรา อะไรยังไม่ได้ทำ รีบทำเสียนะครับ เพราะเราไม่เก่งเท่าแม่ของกะทิ ที่วางแผนจนให้ลูกช่วยตามหาให้แทนได้
มีวิธีพิจารณาแนะนำจากหนังสือภูมิคุ้มใจ ของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย ที่แนะว่าที่ทิเบตให้ล้างจานก่อนนอน แล้วขณะล้าง ขณะถู ให้พิจารณาว่า มีสิ่งใดที่เรายังไม่ได้ทำบ้าง หากเรานอนไปแล้วไม่ตื่น เราเตรียมพร้อมให้คนข้างหลังพร้อมหมดหรือยัง หากยังไม่พร้อมให้รีบทำ อาจจดไว้ หรือทำเลยก่อนนอน
มุกนี้เป็นมรณสติอีกวิธีหนึ่งนะครับ
แม่ของกะทิคงพิจารณาว่าทำไม่ทัน ฝากลูกดีกว่า หรืออีกอย่างจะได้ให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งดีๆ ที่แม่เคยพบพานมา จะได้เอาไว้ใช้ในชีวิตลูก

อ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกว่าแม่ของกะทิเป็นตนดีที่มีคนรักมากทีเดียว

คิดอีกอย่างคือ ทำหนังแล้ว จะดีเหมือนหนังสือไหม คงไม่หรอกนะ

สองเล่มนี้อ่านไวทีเดียว ของเขาดีจริงๆ หมดสงสัยเรื่องรางวัลซีไรต์ครับพี่น้อง

ตรงเส้นขอบฟ้า หนึ่งบันทึกจากเหตุการณ์สึนามิ



สึนามิเกิดขึ้นเมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ โดยครั้งแรกได้ยินข่าวเล็กๆ ในเนชั่นทีวี จนขนาดของข่าวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมเองก็สูญเสียเพื่อนไปหนึ่งคนพร้อมครอบครัวของเธอจากเหตุการณ์นี้
สิ่งหนึ่งที่คิดว่าเสียดายที่ไม่ได้ทำคือ การไปเป็นอาสาสมัครช่วยค้นหาศพ ฟังเพื่อนที่ไปร่วมกิจกรรมนี้มาแล้วอิจฉา อ่านเล่ม เราจะพาเขากลับบ้าน ของหมอพรทิพย์แล้วได้แต่อนุโมทนาในความพยายาม
สองปีแล้ว ไม่อยากให้ลืมกัน การซ้อมยังคงน่าจะมีไว้ การเตือนภัยก็น่าจะพัฒนา จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ไปเที่ยวฝั่งอันดามันอีกเลยครับ กลัว

เล่มนี้ได้มาจากคุณดี มัชชาร ฝากมาเข้าร่วมโครงการ LIF
พอดีจะไปวัดป่าธรรมอุทยานที่ขอนแก่น จะหาหนังสือที่เหมาะกับวัดหน่อย เลยพกเล่มนี้ไปด้วย

เล่มนี้มีคำนิยมจากคุณหมอพรทิพย์ (ขวัญใจผมเลยครับท่านนี้) เลยมั่นใจว่าต้องเป็นหนังสือที่ดี

เล่มนี้เป็นเรื่องที่ ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ เล่าเรื่องของครอบครัวเธอ ก่อนและหลังเกิดสึนามิ มีผู้ช่วยเรียบเรียงอีกที

เหมือนทุกครั้งที่อ่านเล่มเกี่ยวกับสึนามิ น้ำตาต้องซึมเป็นระยะๆ เล่ม เราจะพาเขากลับบ้าน ของคุณหมอพรทิพย์ ก็ประมาณนี้

เล่มนี้จะเด่นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว, การทำใจได้ของผู้เล่า ที่ต้องสูญเสียสี่ชีวิต เหลือเธอคนเดียว, การค้นหาศพที่ต้องอาศัยหลายๆ ทางเข้าช่วย
อ่านแล้วจะรู้ว่าบิดาของ ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ ท่านจะเคี่ยวเข็ญเรื่องการว่ายน้ำของลูก เพื่อจะได้ติดตัวลูกไปเรื่องนี้
เราเลยต้องลุกมาให้ลูกเรียนว่ายน้ำต่อ หลังจากกำลังจะซาๆ ไป

มีคำดีๆ เต็มเล่มเลย เช่น
"สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว"

อ่านเล่มนี้แล้วจุดประกายการเขียนบันทึกขึ้นมา เพราะในเล่มบอกว่า ก่อนนอนเราควรนึกว่า วันนี้มีอะไรที่เราประทับใจบ้าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม การคิดถึงบรรยากาศที่ดีๆ ที่ประทับใจ จะช่วยให้เราจดจำแต่ด้านดีๆ ที่สวยงาม นอนหลับฝันดี ไม่จมปลักแต่กับความทุกข์

เหตุที่ชื่อเล่มว่าตรงเส้นขอบฟ้าเพราะผู้เล่าเรื่องชอบทะเล และ เส้นขอบฟ้า
"ตรงเส้นขอบฟ้านั้นสวยงาม และฉันเองก็อยากจะบอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เรามักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง...
ดูอย่างขอบฟ้าสิ ถึงสมาชิกในครอบครัวของฉันจะจากไปด้วยมหันตภัยทางทะเล แต่ฉันก็ยังรักทะเล และยังรักที่จะมองไปตรงเส้นขอบฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างน้ำทะเลกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่"

น่าจะถูกใจคนที่ชอบทะเลนะครับ

ท้ายสุดก็ Happy Ending เจอศพทั้งหมด

มีมุมมองในการคิดถึงผู้ที่จากเราไปจากเล่มนี้ ให้มองความดี ความน่ารัก ของคนที่จากเราไป แล้วมานั่งยิ้ม น่าจะดีกว่าการมานั่งเสียใจที่เขาจากไป
เพราะสุดท้ายเราก็ต้องไปเจอพวกเขาเช่นกัน เพียงแต่เขาล่วงหน้าไปก่อน เท่านั้นเอง


ปล.๑ สนใจเล่มนี้ยืมได้ที่โครงการ Lend It Forward
ปล.๒ ในเล่มแนะนำหนังดี Life is beautiful ที่เหมาะสำหรับคนต้องทำใจในสถานการณ์มีทุกข์ ต้องหามาดูบ้างแล้ว

วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

หนังถูกใจในปี ๒๕๕๐

ขอทบทวนและรวบรวมไว้หน่อยนะครับ ไม่ได้เรียงตามความชอบนะครับ เรียงตามเวลาที่ดูก่อน-หลังครับ กดที่ชื่อเพื่อดูรายละเอียดได้เลยครับ
๑. โตโตโร่ หนังค่าย Ghibli ที่ถูกใจผมที่สุดขณะนี้ครับ
๒. Good will hunting
๓. Cars
๔. Little Miss Sunshine
๕. Final Score ๓๖๕ วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์
๖. Music and Lyrics
๗. Local Hero
๘. Life is beautiful เรื่องนี้ขึ้นชั้นหนังห้าเรื่องในดวงใจด้วยครับ
๙. The Persuit of Happyness
๑๐. Babel

มีเรื่องไหนที่ดูแล้วชอบ บอกกันบ้างนะครับ จะได้หามาดู ตอนนี้กำลังอยากดู Star War เพิ่งซื้อมาเตรียมไว้ดูครับ

หนังที่ชอบที่ได้ดูในปี ๒๕๔๙

ขอรวมหนังที่ชอบของปีนี้ ตามนี้ครับ
๑. Only Yesterday หนังการ์ตูนของ Studio Ghibli ที่เนื้อหาถูกใจ เพลงประกอบมาถูกที่ ถูกเวลา เลยได้ใจไปเต็มๆ
๒. Click : Sometimes when there's a conflict between work and family, choose family.
๓. The Village Album หนังที่เหมาะสำหรับคนชอบถ่ายรูป ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกที่มีพัฒนาการ เรื่องนี้ขอชอบคู่กับ Always : Sunset on third street (๔)นะ แบบว่าได้อารมณ์คล้ายกัน
๕. เด็กโต๋ และ ๖. My Date with Drew เรื่องของคนมุ่งมั่นและทำตามความฝันสองคน กับหนังทำมือ (ทำแบบหนังสือทำมือ) โดยเฉพาะน้องป๊อบถึงกับไปเรียนด้านนี้มาเลย ขอชื่นชม
๗. Crash ดูแล้วนึกถึงหนังสือ หลายชีวิต และ กว่าจะถึงท่าพระจันทร์ มีคนหลายคนมาเจอเหตุการณ์ร่วมกันจนได้ และร้อยเรียงต่อเนื่อง ไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นพระเอก เพราะทุกคนมีทั้งความดีความเลวปนๆ กันไป
๘. The Constant Gardener รักแท้ต้องอย่างนี้
๙. TransAmerica ถูกใจมาก เพลงเพราะ เนื้อเรื่องดี
๑๐. Seasons Change หนังไทยดีๆ

หนังในดวงใจ ห้าเรื่องนะครับ

๑. Dead Poets Society เรื่องนี้ชอบเพราะครอบครัวผม ครูทั้งนั้น ดูฉากสุดท้ายฉากเดียว ยังกลั้นน้ำตาไม่เคยอยู่
นับจากเรื่องนี้ โรบิ้น วิลเลี่ยม ดารานำ และ ปีเตอร์ เวียร์ ผู้กำกับ เป็นสองชื่อที่ต้องสัมผัสเมื่อพบเห็น
๒. Pretty Woman เรื่องนี้เป็นซินเดอเรลล่ายุคปัจจุบันเลยครับ เจ๊จู กลายเป็นดาราในดวงใจ สวย ปากกว้างได้ใจ แกรี่ มาแชล เป็นต้นตำหรับหนังน้ำเน่าในดวงใจ สองชื่อนี้คว้าได้ทันทีเหมือนกัน
๓. ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เรื่องนี้ดูในโรงภาพยนตร์แบบไม่คาดหวัง แต่ฉากหลวงพ่อนำไข่ไปวางเองเรียกน้ำตาได้อย่างดี ตอนนั้นต้องแอบคนที่ไปดูด้วย อาย แต่พี่เก้งเอาใจผมไปเต็มๆ จากเรื่องนี้ครับ เลยตามผลงานแกมาโดยตลอด แฟนฉันนี่ ก็เพราะมีชื่อพี่เก้งนี่แหละ เลยต้องดู
๔. Infernal Affairs หนังจีนเรื่องนี้ดูครั้งแรกบนรถทัวร์ ไม่ทราบชื่อเรื่อง แต่ติดใจทันที ตามหาเสียนมนานกว่าจะรู้ว่าชื่อเรื่องอะไร ดูมันครบสามภาคแล้วครับตอนนี้
๕. Life is beuatiful เรื่องที่ห้าเลือกยาก แต่เรื่องนี้เบียดแซงมาหวุดหวิด เรื่องนี้ผมโปรยไว้ว่า หนังดีที่ชีวิตนี้ควรดู

เพื่อนๆ ล่ะครับ มีหนังในดวงใจเรื่องอะไรกันบ้าง

วันศุกร์ที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ความสุขของกะทิ ความสุขที่เธอเลือกเอง (LIF#19)

ผู้เขียน : งามพรรณ เวชชาชีวะ
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์ (พิมพ์ครั้งที่ ๔๓)
จำนวนหน้า : ๑๑๘ หน้า
ราคา : ๑๐๕ บาท
ระดับความชอบ : ๘/๑๐
เจ้าของหนังสือ : คุณแฮมสเตอร์



จำได้ว่าตอนนวนิยายเรื่องนี้ได้รางวัลซีไรต์ เมื่อปี ๒๕๔๙ เกิดการไม่เห็นด้วยกันพอสมควร แต่หลายคนที่ได้อ่านเล่มนี้ก็ชื่นชอบกันนะ ตอนดังๆ น่ะ ไม่สนใจอ่านหรอกครับ มาได้อ่านแบบยืมเขามาในโครงการสุด เลิฟ LIF ที่ทำให้ไม่ต้องซื้อหนังสือ แถมได้มิตรดีๆ อีกเพียบ
เมื่ออ่านแล้วก็ต้องถือว่าเป็นผลงานที่ดีเรื่องหนึ่ง ที่น่าสังเกตคือ ผู้เขียนมีผลงานแค่เล่มนี้เล่มแรก แถมเกิดเมืองนอก ทำไมบรรยายเรื่องชนบทได้ดีจัง อีกอย่างสงสัยนามสกุลจะดังไปเลยมีคนสงสัยว่ามีส่วนกับรางวัลหรือเปล่า ข้อกังขาจึงเยอะ

ชื่อบทแต่ละบทน่ารักดีครับ เป็นอุปกรณ์ในครัวเรือน ดอกไม้ สิ่งรอบตัวทั้งนั้นเลย แถมมีคำดีๆ สรุปเนื้อเรื่องตอนต้นบทอีก เก๋ดี

การพรรณนาในเล่มบางช่วงยังไม่ถึงแก่น คงเพราะเคยทึ่งกับการพรรณนาแบบเห็นภาพมาแล้วเมื่ออ่านเล่ม เพื่อนนอน ของท่านหม่อมคึกฤทธิ์ คงหาใครพรรณนาได้ดีแบบนั้นยากเต็มที เล่มนี้ก็ไม่ถึงแบบนั้นครับ

เล่มนี้เน้นความเรียบง่าย ค่อยๆ คลี่คลายเรื่อง อ่านแล้วอยากรู้ว่า โรคเอแอลเอส นี่ สาเหตุมาจากอะไรหว่า แล้วมีวิธีป้องกันไหม โรคมันเยอะจริงๆ สมัยนี้ คงต้องค้นหากันต่อ ใครมีข้อมูลบอกกันบ้างนะครับ

มุกจัดของไว้ให้ลูกดูก็เจ๋งครับ น่าจะเอามาจัดเรียงกันไว้บ้างนะเรา

อ่านจบเร็วเชียวเล่มนี้ บางๆ สนุกดี อ่านง่าย อ่านถึงตอนท้ายๆ ก็ไม่ค่อยชอบมาก จนมาหักมุมในตอนท้ายเรื่องส่งจดหมาย ชอบครับ คิดได้ไง
ตกลงความสุขของกะทิคืออะไร น่าจะเป็นการได้ทราบประวัติตัวเอง การได้ซึมซับความรักจากคนรอบข้าง นั่นเพราะแม่ของกะทิเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงมีคนรักเยอะ
ที่สำคัญที่สุดคือการได้อยู่กับตายายที่บ้านริมคลอง ท่ามกลางความรักที่ทุกคนมีให้อย่างจริงใจ เลยเกิดการตัดสินใจที่เลือกรักษาความสุขนั้นไว้ โดยกะทิเลือกเองครับ แถมทำให้ทุกคนสบายใจอีก ฉลาดจริงๆ หนูกะทิ

มีเล่มความสุขของกะทิ ตอนตามหาพระจันทร์ อยู่ในมืออีกเล่ม คงอ่านต่อกันเลยดีกว่า

ขอบคุณเจ้าของหนังสือ ที่ให้ยืมครับ

วันอังคารที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

หลังอาน (จักรยาน) ผลงานชั้นดีของ บินหลา สันกาลาคีรี

ผู้เขียน : บินหลา สันกาลาคีรี
สำนักพิมพ์ : มติชน
จำนวนหน้า : ๒๒๐ หน้า
ราคา : ๑๔๐ บาท
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

หนังสือเล่มนี้ซื้อมาเก็บไว้นมนาน เพราะได้ยินสรรพคุณมามากมาย จับมาอ่านครั้งหนึ่ง ได้ไม่กี่หน้า ก็วางซะงั้น

จนมาอ่านบทความของหนุ่มเมืองจันท์ถึงหนังสือ ๔ เล่ม ที่แนะนำให้นักศึกษาอ่าน ได้แก่
๑. หนังสือชุด คุยกับประภาส (ชลศรานนท์)
๒. ความฝันโง่ๆ ของวินทร์ เลียววารินทร์
๓. ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน ที่หนุ่มเมืองจันท์เขียนประวัติคุณตัน
๔. หลังอาน เล่มนี้แหละครับ

ลำดับแรกมีไว้ครอบครอง และอ่านหมดแล้ว แปดเล่ม ขอแนะนำให้อ่านเช่นกัน ลองอ่านรีวิว
สองเล่ม คือ แมงกะพรุนถนัดซ้าย และ ตัวหนังสือคุยกัน เผื่อจะจุดประกายความอยากขึ้นมาบ้าง

เล่มที่สอง และ สาม ยังไม่ได้อ่าน

ส่วนเล่มนี้ ไหนๆ ก็มีในมือแล้ว อ่านเสียเลยดีกว่า พอดีวันก่อนได้ไปปั่นจักรยาน กับชมรมจักรยานที่ทำงาน ที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยามเย็น รู้สึกดี เอารูปมาฝากเสียหน่อย










อารมณ์อยากรู้เรื่องจักรยาน เลยทวีคูณ อ่านเลยเล่มนี้
ทำไมต้องหาแรงบันดาลใจมากมายขนาดนี้ สำหรับหนังสือเล่มนี้

อ่านแล้วไม่ผิดหวัง สมคำร่ำลือ อยากบอกว่าเข้าข่าย Must Read เลยครับเล่มนี้

อ่านบินหลามาสองเล่มแล้วคือ เจ้าหงิญ และ คิดถึงทุกปี ตามลำดับ ชอบเล่มหลังมากกว่าเล่มแรก
เล่มหลังอานชอบมากที่สุดเลยครับตอนนี้ ในบรรดาหนังสือของบินหลาที่ได้อ่าน

เสน่ห์มากมายในเล่มนี้ ทั้งการเล่าเรื่อง สำนวน ประสบการณ์การทำหนังสือพิมพ์คงเป็นสิ่งที่ส่งเสริมการเล่าเรื่องได้อย่างดีมาก

เปิดเรื่องมาสไตล์คาวบอยเลย อ้อ เริ่มจริงๆ ต้องมูลเหตุการย้ายถิ่นฐานก่อน แต่ชอบการบรรยายแบบคาวบอย ประมาณว่าม้า เปลี่ยนเป็นเสือภูเขา ปืนเป็นกล้องถ่ายรูป
อุปกรณ์มาตรฐานที่เห็นคือ สมุดบันทึก และอุปกรณ์วาดรูป

มีเคล็ดลับเกี่ยวกับจักรยานแฝงในเล่มมากพอดู เช่น การวัดความสูงของอานรถ ทานรักแร้เข้ากับอาน ยืดแขนจนสุด ขยับอาน จนกระทั่งปลายนิ้วกลางแตะตรงกลางดุมจานโซ่หน้าพอดี

ทริปหลักๆ ในเล่มมีสองทริป กับหนึ่งความประทับใจ
หนึ่งความประทับใจคือ ปั่นขึ้นดอยสุเทพ เพราะอายดอกบัว
ทริปแรก ไปลาวกับลูกหมอประเวศ วะสี ชื่อปาน ไปเจอเพื่อนสมัยอนุบาลชาวสงขลาที่ฝั่งลาว เพราะวิถีเขาตรงกัน เลยได้เจอกัน
บทเจอเพื่อนเก่า ประทับใจครับ

อีกทริปคือ เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ที่ยาวนาน ผ่านอุปสรรคมากมาย ท้อแท้จนบางครั้งอยากยกเลิก แต่กลับมาฮึดจนได้
พานพบคนดีมากมาย
การบรรยายผู้คนในเล่มนี้ สุดยอดครับ คล้อยตามเลย

ชอบที่แวะห้วยขาแข้ง รัก สืบ นาคะเสถียร มากเหมือนกันครับ อยากไปไหว้อนุสาวรีย์ท่านสักครั้ง คงจะได้ไปซักวัน
วันก่อนทราบข่าวว่า พื้นที่ป่าบ้านเราเหลือ ๑๘% น่าใจหาย
เห็นข่าวการตัดต้นไม้ในป่าสงวน ยิ่งใจหายครับ จะทำร้ายโลกกันไปถึงไหนครับ
ผมว่าใครตัดต้นไม้วันนี้ เป็นอาชญากรของโลกเลยครับ ไม่เวอร์หรอกนะครับ ลองพิจารณาดู ไม่ปลูกไม่ว่า แต่อย่าตัดครับ

บางอารมณ์บินหลาก็ตัดสินคนแบบผิดๆ เขียนไว้น่าติดตามเลย ลองอ่านดูช่วงที่พระสงฆ์หุงหามื้อเย็นให้ทานครับ อคติมาก่อน ก็แบบนี้แหละครับ

พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง มาหลายตอนเลย อย่างเช่นที่บินหลาปั่นไปหาโรงเรียนที่เคยออกค่ายกับพี่จุ้ย แล้วเล่าประสบการณ์ครั้งนั้นให้เด็กๆ ฟัง สื่อเรื่องการศึกษาในปัจจุบันได้บ้างนะครับ

มีคำหนึ่งที่เคยอ่านเจอ "การเดินทางเป็นวัตถุดิบของนักเขียน" ท่าจะจริง
ไม่ออกเดินวันนี้ ไม่มีทางได้ประสบการณ์ดีๆ ครับ
ออกเดินทางด้วยหัวใจเปิดกว้าง รับสิ่งใหม่ๆ บันทึกประสบการณ์ เอาไว้ให้ตัวเองจดจำ หรือแบ่งปันความฝันให้คนอื่นๆ ได้ชื่นชม

อ่านเล่มนี้ รู้สึกอย่างนี้ครับ

อ่านเล่มนี้ ดีใจที่เป็นคนสงขลา ก็มีนักเขียนซีไรต์สามคนแล้วนี่ครับ ไม่เกี่ยวกับหนังสือ แต่แอบปลื้มทุกที ที่เจอคนบ้านเดียวกัน คนบ้านนอกก็อย่างนี้แหละครับ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amp-atom&month=03-2008&date=10&group=3&gblog=78